เอกชนเกาะติดค่าเงินบาทใกล้ชิดหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% พบสัญญาณเป็นไปในทางที่แข็งค่าสวนทางดอกเบี้ยขาขึ้น คาดระยะสั้นยังคงผันผวน แต่ยังไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกใดๆ เชื่อปีนี้ส่งออกโตได้ 2-3% เผยทิศทาง ศก.ไทยแข็งแกร่งทำให้ทุนยังคงไหลเข้ามา
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรองประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาสู่ระดับ 0.75-1% ขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังคงอยู่ในภาวะแข็งค่าเฉลี่ย35.03 บาทต่อเหรียญสหรัฐต่อเนื่อง ซึ่งถือว่ายังคงไม่อ่อนค่าตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นคงจะต้องติดตามค่าเงินอีกระยหนึ่งเพื่อประเมินแนวโน้มอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทดังกล่าวยังไม่มีนัยสำคัญที่จะกระทบต่อการส่งออกแต่อย่างใด
“ก็คงต้องติดตามใกล้ชิดเพราะเฟดขึ้นดอกเบี้ยปกติทิศทางค่าบาทจะอ่อนค่าลง แต่ขณะนี้ยังคงแข็งค่าโดยจะต้องติดตามอีกระยะหนึ่งว่าจะไปในทิศทางใดแน่ แต่ภาพรวมส่งออกปีนี้ยังคงมองว่ายังโตได้ 2-3% จากปีก่อนแม้ว่าเฟดจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้” นายวัลลภกล่าว
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า ระยะสั้นนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะมีความผันผวนแต่จะมีทิศทางไปในทางแข็งค่ามากกว่าเนื่องจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1. ไทยมีดุลการค้าเกินดุล 2. มีทุนสำรองค่อนข้างมาก 3. การเมืองมีเสถียรภาพ ทำให้เงินยังคงไหลเข้ามายังไทยอยู่ ประกอบกับแม้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแต่หลายคนก็ยังคงมองว่าศก.สหรัฐยังคงไม่แน่นอนด้วยนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ยุโรปมีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของหลายประเทศทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ
“ภาพรวมขณะนี้เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่องเพราะที่ผ่านมาเฟดได้ส่งสัญญาณไปแล้วล่วงหน้า ส่วนหนึ่งเงินทุนก็ไหลออกไปบ้างแล้วแต่ก็ไม่มากนักและหากเทียบกับภูมิภาคไทยยังมีทิศทางแข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆ ด้วยปัจจัยข้างต้น จึงต้องติดตามในระยะ 1 เดือนว่าจะไปทิศทางใดแน่ ส่วนตัวยังมองว่าบาทน่าจะทรงตัวและแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” นายธนิตกล่าว