กฟผ.น้อมรับและพร้อมปฏิบัติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ยกเลิกผลการวิเคราะห์ผลกระทบ EIA และ EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ พร้อมจะเริ่มศึกษาผลกระทบฯ ใหม่ตามขั้นตอนที่ สผ.กำหนด ขณะที่ “สนพ.” แจงเทคโนโลยีถ่านหินปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีสะอาดและมีประสิทธิภาพ
นายกรศิษฎ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.พร้อมน้อมรับปฏิบัติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ที่มอบให้ กฟผ.ยกเลิกผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่ กฟผ.ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยท่านนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ กฟผ.ได้รับทราบหนังสือของสำนักนโยบายและแผน (สผ.) ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ หรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (รายงาน EHIA) โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ (ส่วนขยาย ครั้งที่ 1) ของ กฟผ. โดยให้ไปศึกษาและทำความเข้าใจใหม่ พร้อมกับทำ EIA ใหม่ โดยเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
“กฟผ.เป็นหน่วยงานภาครัฐที่พร้อมจะปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยรอปฏิบัติตามขั้นตอนของการจัดทำรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบ EIA และ EHIA ใหม่ตามที่ สผ.กำหนดต่อไป” ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าว
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานสัมมนาเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดว่า “ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ไทยจะค่อยๆ มุ่งสู่สมดุลใหม่ในการผสมผสานแหล่งพลังงานในช่วง 20 ปีข้างหน้า โดยผนวกรวมกระแสไฟฟ้าพลังน้ำที่นำเข้า (15-20%) ไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (30-40%) ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งรวมถึงไฟฟ้าพลังน้ำ (15-20%) และถ่านหิน (20-25%) ซึ่งเทคโนโลยีอัลตรา-ซูเปอร์คริติคัล (Ultra-Supercritical : USC) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยถ่านหินนั้นหาง่ายเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียร เพราะราคาไม่ผันผวนและยังถูกกว่าการนำเข้าแอลเอ็นจีจึงช่วยลดค่าไฟของประเทศได้