ผู้จัดการรายวัน 360 - “จตุจักรกรีน” พื้นที่เดือด “วีมัลติมีเดีย” มั่นใจนิติกรรมสัญญาสำเร็จแล้วก่อน ผอ.ตลาดนัดคนใหม่เข้ามาหวังฮุบพื้นที่บริหารเอง ย้ำชัดขอต่อสัญญาถูกต้อง พร้อมเพิ่มค่าเช่าให้อีก10% สุดท้ายขอศาลปกครองคุ้มครอง ครวญทุกวันนี้ยังขาดทุนต้องอีก 5 ปีถึงจะคืนทุน ด้านผู้เช่าหวั่นใจลูกค้าหาย 5-10%
นางสาวปิยดา สุดตานนท์ ผู้บริหาร โครงการจตุจักร กรีน บริษัท วีมัลติมีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีที่ทางบริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรมในสัญญาบริหารพื้นที่จตุจักรกรีนบนพื้นที่ 20 ไร่ 1 งาน หลังนายศุภกร วีรสุวิภากร ผู้อำนวยการตลาดนัดเข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 24 พ.ย. 59 และในวันที่ 30 พ.ย.ต่อมาได้ยกเลิกสัญญาลง จนเกิดปัญหาที่สรุปไม่ได้เรื่อยมา จนสุดท้ายวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมาทางกองอำนวยการตลาดนัดกรุงเทพมหานครได้เข้ามายังพื้นที่จตุจักรกรีนและแจ้งว่าทางบริษัทหมดสัญญาและกองอำนวยการจะเข้ามาบริหารพื้นที่เองตั้งแต่ 5 ก.พ.เป็นต้นไป
นางสาวปิยดากล่าวต่อว่า แนวทางของผู้อำนวยการตลาดนัดคนใหม่เข้ามาและทำหนังสือรวมถึงเรียกให้ทางบริษัทเข้าไปรับทราบข้อสัญญาที่ผ่านมา ทุกครั้งไม่เคยแจ้งว่าบริษัทผิดสัญญาข้อใด มีแต่จะขอขึ้นค่าเช่า และพอทางบริษัทยอมที่จะขึ้นค่าเช่าให้อีก 10% ในปีหน้า สุดท้ายกลับมีหนังสือแจ้งว่าเราค้างชำระค่าเช่าคิดเป็นเงิน 3.8 ล้านบาท และสิ้นสุดสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เป็นความจริง ทางบริษัทจึงยื่นขอความคุ้มครองจากศาลปกครองและรับเป็นคดีเร่งด่วน โดยหลังจากนี้จะมีการนำเอกสารยื่นต่อศาลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาคดีต่อไป และระหว่างนี้ทางกองอำนวยการตลาดนัดกรุงเทพมหานครไม่มีสิทธิ์เข้ามาในพื้นที่จตุจักรกรีนอย่างที่เคยทำ ทั้งนี้ หากมีเหตุการณ์เกิดซ้ำทางบริษัทสามารถแจ้งข้อหาบุกรุกได้
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัททำสัญญาบริหารพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 54 เป็นสัญญาปีต่อปี ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา และสัญญาทุกครั้งยังคงอยู่ในราคาเดิม เนื่องจากที่ผ่านมาลงทุนพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวไปกว่า 63 ล้านบาท ไม่รวมค่าเช่ารายปีที่ต้องจ่ายอีกปีละ 9.6 ล้านบาท ยอมรับว่าถึงวันนี้ยังอยู่ในระหว่างขาดทุนสะสม ดังนั้นการขอต่อสัญญาทุกครั้งจึงยังคงอัตราค่าเช่าเดิมให้ทางบริษัทพ้นสภาวะขาดทุนไปได้ ซึ่งหากไม่มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น ใน 2 ปีบริษัทจะยังคงพัฒนาพื้นที่ปรับปรุงลงทุนบริหารจัดการต่อเนื่องไปอีก โดยมองว่านับจากนี้ 5 ปีจึงจะคุ้มทุน แต่พอมีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น ทางบริษัทยอมที่จะเพิ่มค่าเช่าในปีหน้าให้อีก 10% แต่สุดท้ายก็เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ซึ่งทางกองอำนวยการตลาดนัดมีเจตนาตั้งแต่ที่จะเข้ามาบริหารพื้นที่ดังกล่าวเองตั้งแต่เริ่ม ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่เรา ระหว่างนี้จึงต้องให้ศาลปกครองเข้ามาคุ้มครอง
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวสามารถสรุปลำดับเหตุการณ์ได้ ดังนี้
-วันที่ 8 เมษายน 2559 โครงการฯ มีการทำหนังสือ ขอต่อสัญญาเช่า พื้นที่ จตุจักร กรีน ไปยัง กนก.
-วันที่ 1พ.ค. 2559 กนก. (ชุดเดิม) ได้ออกหนังสือตอบรับการต่อสัญญาให้อีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2559 – 12 สิงหาคม 2560 เมื่อสัญญาประธานระหว่าง มูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์และ กนก. ได้ลงนามเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งให้โครงการฯ ไปทำสัญญา ระยะเวลา 1ปี โดยมีข้อกำหนดในสัญญา ตามสัญญาปี 58 ทุกประการและชำระค่าเช่าถึงเดือนปัจจุบัน ภายใน 30วัน หลังจากเซ็นสัญญา (ซึ่งเป็นปกติธรรมเนียม ปฏิบัติเช่นนี้ มาเป็นเวลา 5 ปี)
-วันที่ 4กันยายน 2559กนก. (ชุดเดิม) ทำการยืนยันนิติกรรม ต่อสัญญาให้ โดยอยู่ในระหว่างการจัดทำสัญญา ระหว่าง กทม.ฯ กับมูลนิธิสวนสมเด็จฯ (สัญญาประธาน) โดยมีข้อกำหนดในสัญญา ตามสัญญาปี 58 ทุกประการแต่แจ้งระยะเวลาสัญญา 2ปี คือต่อให้ถึงวันที่ 12สิงหาคม 2561
-วันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 ผอ. กนก. (คนใหม่) และคณะผู้บริหารกองอำนวยการตลาดนัด กทม.ฯ ชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่ง แทนชุดเดิม
-วันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ผอ. กนก. (คนใหม่) ออกหนังสือถึงโครงการฯ โดยอ้างว่าได้มีการเปลี่ยนผู้ว่ากทม.ฯ และเข้ามาแทนตำแหน่ง ผอ. เดิม กนก.จึงขอยกเลิกมติการต่อสัญญาของผอ.คนเดิมทั้งหมด
-วันที่ 15ธันวาคม 2559หนังสือสัญญา ระหว่าง กทม.ฯ กับมูลนิธิสวนสมเด็จฯ (สัญญาประธาน) ได้มีการลงนามกัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติเป็นที่เรียบร้อย
-กนก. (ชุดใหม่) ออกหนังสือยืนยันยกเลิกมติ กนก.ชุดเดิม และอ้างสิทธิในการเป็นผู้ให้เช่า โดยให้โครงการฯ อยู่ต่อได้ถึงวันที่ 12 มกราคม 2560 (เป็นเวลา 5 เดือนเท่านั้น) อ้างว่าสิทธิของโครงการฯ ได้หมดลงแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2559
-วันที่ 5 มกราคม 2560 โครงการฯ ได้ขอให้ทบทวนการต่อสิทธิ เนื่องจากได้สอบถามทางมูลนิธิสวนสมเด็จฯ พร้อมได้รับคำตอบว่า มีการต่อสัญญาให้ 1 ปีตามปกติต่อเนื่องดังเช่นเคย ดังนั้นการที่ กนก. (ชุดใหม่) ได้ทำการให้ต่อสัญญา เพียง 5 เดือน ถือเป็นการขัดต่อมตาของมูลนิธิสวนสมเด็จฯ และคณะ กนก. (ชุดเดิม) ซึ่งมีอำนาจครอบถ้วนในขณะนั้น และทางบริษัทฯ ยืนยันพร้อมชำระค่าเช่าทันทีที่ได้รับหนังสือต่อสัญญาที่ชอบธรรมตามมติเดิม
-กนก. (ชุดใหม่) ออกหนังสือยืนยันให้โครงการฯ ชำระค่าเช่า 5 เดือน เป็นเงินรวม 3.8 ล้าน และค่าประกันสัญญา 5% ของวงเงินค่าเช่า เป็นเงิน 1.9 แสนบาท โดยคิดแค่การเช่าใช้พื้นที่แบบสิ้นสุดการเช่าเพียง 5 เดือน เท่านั้น
-กนก. (ชุดใหม่) ได้ออกหนังสือเชิญโครงการฯ ไปประชุม เพื่อเจรจาให้ยอมรับเงื่อนไขใหม่ต่างๆ โดยทางโครงการฯ ได้ส่งตัวแทน และผู้มีอำนาจตัดสินใจไปประชุมที่ศาลาว่าการ กทม. ในวันที่ 19 มกราคม 2560
-วันที่ 19 มกราคม 2560 กนก. (ชุดใหม่) ได้ขอให้โครงการฯ ทบทวนเพิ่มค่าตอบแทน (ค่าเช่า) ต่อกนก. (ชุดใหม่) หากเป็นที่น่าพอใจทาง กนก. (ชุดใหม่) จะทำการต่อสัญญาให้เลย 2 ปี
-วันที่ 26 มกราคม 2560 โครงการฯ ออกหนังสือยืนยันสิทธิการครอบครองพื้นที่ ขอให้ยึดค่าเช่าและระยะเวลาการเช่าตามมติเติมคือ 12 เดือนเนื่องจากการไปเปลี่ยนแปลงข้อความใดๆ ในมติเดิม เท่ากับเป็นการยอมรับล้มเลิกนิติสัมพันธ์ และพร้อมชำระค่าเช่าหากได้รับสัญญาที่เป็นธรรมตามธรรมเนียมปฏิบัติดังที่ผ่านมาห้าปี แต่ทั้งนี้ โครงการฯ ก็มิได้ปฏิเสธข้อเสนอ โดยมีการเพิ่มค่าเช่าให้อีกร้อยละ10ในปีถัดไป (13 สิงหาคม 2560 – 12 สิงหาคม 2561) เพื่อถือเป็นการประนีประนอม และช่วยกนก. (ชุดใหม่) และได้ขอให้เร่งจัดทำสัญญาเช่า เพื่อโครงการฯ จะได้ชำระค่าเช่าต่อไป
-กนก. ชุดใหม่ ออกหนังสือให้บริษัทฯ ออกจากพื้นที่โครงการฯในวันที่ 27มกราคม (วันถัดมาจากที่ได้มีหนังสือแจ้งไป) แต่ส่งหนังสือให้ในช่วงเที่ยง ๆ ของวันที่ 28มกราคม โดยมีใจความหลักคือ แจ้งให้ออกจากสถานที่ และชำระค่าเสียหายโดย อ้างในใจความดังนี้ คือ โครงการฯ ละเมิดอยู่ในพื้นที่ โดยมิได้ส่งมอบพื้นที่คืน ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2559 จึงคิดอัตราปรับเป็นเงินวันละ 25,534 บาท รวมเป็นเงินค่าปรับ พร้อมค่าเช่า จำนวน 7.3 ล้านบาท และยังอ้างว่าโครงการฯ มิได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ศูนย์อาหาร ร้านค้า ให้ดีพอ จึงได้ยกเลิกกระทำใดๆ ที่ ผอ.กนก. (ชุดเก่า) ได้ทำไว้ หรือการมีนิติสัมพันธ์ ใดๆ กับทางโครงการฯ โดยให้ออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 และชำระค่าเช่า พร้อมค่าปรับดังกล่าว ภายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 และในวันเดียวกันนั้น (28 มกราคม) ในเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ได้ส่งกลุ่มชายชุดดำ และเจ้าหน้าที่เทศกิจ และตำรวจ ทหาร เข้ามาบุกรุกแจกเอกสารให้ผู้เช่าแผง และร้านค้าต่างๆ ของโครงการฯ ไปชำระค่าเช่าได้ที่สำนักงานของกองอำนวยการฯ ที่มีนบุรี ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 โดยอ้างว่าบริษัทฯ ขาดสิทธิในการครอบครองพื้นที่แล้ว เหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการบุกรุกและใช้อำนาจรัฐที่ไม่เหมาะสม ทางบริษัทฯ จึงได้ยื่นขอความเป็นธรรมไปที่ศาลปกครอง เพื่อพิสูจน์สิทธิและเจตนาของทางกองอำนวยการฯ และการกระทำในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ว่าเข้าหลักเกณฑ์ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบหรือไม่ โดยศาลปกครองได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีเรียบร้อยแล้ว