ผู้จัดการรายวัน 360 - “หอแว่นกรุ๊ป” เปิดเกมเชิงรุกลุยตลาดแว่นตาพร้อมหัวเรือใหม่สู้ตลาดรวมที่โตเพียง 3% ชูธง 6 นโยบายหลัก เพิ่มงบตลาดอีก 10% เน้นแข่งขันที่คุณภาพและบริการ เมินสงครามราคา ดันยอดรวมปีนี้โต 12% หลังจากที่ปี 59 โตวืดเป้า
นายวิรัช ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมแว่นตาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท จากจำนวนร้านค้าโดยรวมมากกว่า 5,000 สาขาจากทุกแบรนด์ที่เป็นเชนและร้านเดี่ยว โดยตลาดรวมปี 2559 ที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 2-3% เท่านั้นเองซึ่งถือว่าต่ำมากอันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ไม่ค่อยดี และแว่นตาเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคชะลอการซื้อได้ จากเดิม 2 ปีเปลี่ยนครั้งมาเป็น 3 ปี รวมทั้งปัญหาด้านการแข่งขันในตลาดรวมที่รุนแรงโดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา
ขณะที่หอแว่นกรุ๊ปเองนั้นปีที่แล้วมีรายได้รวมประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท หรือเติบโต 10% แม้ว่าจะมากกว่าตลาดรวมก็ตาม แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่บริษัทฯ ตั้งการเติบโตไว้ที่ 17% เนื่องจากว่าปริมาณลูกค้าที่ลดน้อยลง และทิ้งช่วงในการซื้อสินค้านานขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อแว่นตาต่อคนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจึงสามารถชดเชยปริมาณลูกค้าที่หายไปได้ บริษัทฯ มีฐานลูกค้ามากกว่า 1 ล้านราย
“ปีนี้หอแว่นเราจะทำตลาดในเชิงรุกหรือแอกเกรสซีฟมากขึ้นกว่าเดิม มีการปรับกลยุทธ์ ปรับนโยบายใหม่ และทีมงานใหม่เข้ามาเสริม ซึ่งผมเพิ่งบริหารในตำแหน่งนี้ได้ปีเศษที่นี่ และเราจะเน้นเรื่องคุณภาพและการบริการ ไม่ไปแข่งเรื่องราคากับคู่แข่งในตลาด ซึ่งในปี 2560 นี้เราตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 12%” นายวิรัชกล่าว
สำหรับแผนขยายสาขาปีนี้ในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะมีประมาณ 3 สาขา ส่วนครึ่งปีหลังวางแผนไว้อีก 3 สาขา แต่คงต้องพิจารณาสภาพตลาดและเศรษฐกิจเป็นหลักด้วย จากปัจจุบันที่มีสาขารวม 114 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก 73 สาขา, ภาคกลาง 8 สาขา, ภาคเหนือ 7 สาขา, ภาคใต้ 6 สาขา, ภาคอีสาน 11 สาขา, ภาคตะวันออก 7 สาขา และภาคตะวันตก 2 สาขา ส่วนต่างประเทศมีที่ สิงคโปร์ 10 สาขา และมาเลเซีย 10 สาขา
ส่วนปีที่แล้วเปิดใหม่เพียง 3 สาขาเท่านั้น โดยแต่ละสาขาจะลงทุนประมาณ 4-5 ล้านบาท ขนาดพื้นที่เฉลี่ย 40-120 ตารางเมตร ส่วนใหญ่เป็นการเช่าพื้นที่อยู่ในศูนย์การค้า และปีนี้จะมีการรีโนเวตโฉมสาขาใหม่อีก 11 สาขา นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะรีอิมเมจแบรนด์ให้ดูสดใสและทันสมัยกว่าเดิม หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 51 ปีแล้ว
นายวิรัชกล่าวว่า ตลาดรวมแว่นตาแข่งกันที่ราคาและโปรโมชันค่อนข้างมาก ทำให้มูลค่าตลาดรวมโตไม่มากนัก ซึ่งในตลาดมีผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย เช่น มีรายใหญ่ที่ครองอันดับหนึ่งในแง่จำนวนสาขามากกว่า 1,000 สาขา ส่วนหอแว่นก็อยู่ในอันดับ 2 หรือ 3 ตรงตำแหน่งนี้ เราไม่ต้องการไปแข่งในเรื่องราคามากไป ตอนนี้ระดับราคาที่ขายดีคือ 5,000-6,000 บาท เป็นตลาดระดับกลาง ส่วนตลาดที่สูงกว่านั้นคือ ราคาหมื่นกว่าบาทขึ้นไปก็ยังพอขายได้ดีอยู่
ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ 3Plus ซื้อแว่นได้ประกัน ถือเป็นมาตรฐานใหม่ เป็นครั้งแรกของความรับผิดชอบต่อสินค้าและบริการ เมื่อลูกค้าหอแว่นซื้อแว่นตาจะได้รับการประกัน 3 อย่าง คือ 1. การประกันการแก้ไขปัญหาสายตา ว่าสินค้าใช้ได้แน่ในระยะเวลาการปรับตัว 90 วัน 2. การประกันว่าสินค้ามีความคงทนต่อการใช้งานประจำวัน พร้อมใช้งานระยะเวลา 12-18 เดือนแล้วแต่ชนิดสินค้า และ 3. การประกันเพื่อลดความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุที่เพิ่มไปใหม่ ซึ่งทำร่วมกับบริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เพื่อตอบสนองผู้บริโภคใน 4 ด้าน คือ ลดความเสียหายจากอุบัติเหตุ เพิ่มทางเลือกเมื่อเกิดความเสียหายต่อตัวสินค้า ตอบสนองความต้องการพิเศษเฉพาะแต่ละบุคคล มุ่งมั่นปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น
โดยปีนี้ได้เพิ่มงบการตลาดอีก 10% จากปีที่แล้วที่ใช้กว่า 10 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตลาดต่างๆ ตามนโยบาย 6 ประการ คือ 1. เน้นความเป็นผู้เชี่ยวชาญและแก้ไขปัญหาด้านสายตา 2. การเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคเมื่อมาซื้อสินค้าที่เรา 3. ตอบสนองความต้องการที่พิเศษของลูกค้า 4. สร้างความเป็นกันเองให้กับลูกค้าเมื่อเข้ามาในร้านค้า 5. ยึดมั่นตามชื่อ เบตเตอร์วิชัน ที่จะเน้นให้บริการด้านสายตาที่ดีกว่า และ 6. มุ่งเน้นการให้ไม่หวังสิ่งตอบแทนด้วยการทำซีเอสอาร์