เมื่อต้นสัปดาห์บริษัท เชลล์ ประเทศไทย ได้ตกลงขายกิจการ Shell Integrated Gas Thailand Pte Limited และ Thai Energy Company Limited ให้แก่ KUFPEC Thailand Holdings Pte Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuwait Foreign Petroleum Exploration Company (KUFPEC) ซึ่งการซื้อขายบริษัทในเครือทั้งสองมีสัดส่วนหุ้นรวมทั้งหมด 22.222% ในแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชนอกฝั่งทะเลตอนใต้ของ ไทย ที่ประกอบด้วยแปลงหมายเลข 15 , 16 และ 17 และแปลงหมายเลข G12/48 ด้วยมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเม็ดเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท
เบื้องหลังการขายครั้งนี้ เนื่องจากเชลล์ได้เคยมีปัญหาปรับแผนการลงทุนทั้งหมดเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เชลล์ได้เข้าไปควบรวมกิจการกับบีจีกรุ๊ป ทำให้มีภาระหนี้สินมหาศาล ส่งผลกระทบต่อแผนการเงินของบริษัท และ มีความจำเป็นต้องปรับแผนและระดมเม็ดเงินด้วยการขายทรัพย์สินรวมถึงหุ้นในแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชนอกของไทย หากไม่แก้ปัญหาสภาพหนี้สินที่เกิดขึ้น อาจจะมีผลต่อการถูกลดชั้นเครดิต จึงต้องทยอยขายทรัพย์สินที่มีอยู่
งานนี้แว่วมาว่า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ.ได้ยื่นเสนอซื้อหุ้นในแหล่งบงกชจากเชลล์เช่นเดียวกัน แต่ราคาที่เสนอซื้อนั้นต่ำกว่า KUFPEC เชลล์ตัดสินใจเลือกที่จะขายหุ้นทั้งหมดที่ถือหุ้นในแหล่งบงกชให้แก่ KUFPEC
แหล่งก๊าซบงกชนี้นับว่าเป็นแหล่งก๊าซที่ใหญ่ติดอันดับของไทย หากรวมกับแหล่งเอราวัณ คิดเป็นสัดส่วนแหล่งพลังงานประมาณ 70% ของไทย มีกำลังการผลิตได้ถึง 50%
ส่วนแหล่งบงกช นี้ก็จะทยอยหมดสัมปทานตั้งแต่ปี 2565-2566 ตามลำดับ จึงเป็นสาเหตุที่เชลล์ยอมสละเรือขายหุ้นทิ้ง เพราะไม่มั่นใจการให้สัมปทานแหล่งก๊าซของไทยว่าจะมีทิศทางอย่างไรในอนาคต เพราะมีกระแสการต่อต้านในการเปิดแหล่งสัมปทาน ไม่มีความชัดเจนว่าจะออกหัวก้อยอย่างไร ยอมขายหุ้นทิ้งไปทั้งหมด
ขณะที่ ผู้ที่เข้าซื้อหุ้นใหม่ KUFPEC ก็ยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นกว่า 3 .2 หมื่นล้าน วาดฝันว่าจะของบุกตลาดพลังงานในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมองตลาดในแถบเอเซีย มานานแล้ว แต่ในเชิงธุรกิจของ KUFPEC ยังไม่มีหัวหอกนำในการบุกตลาดพลังงานเลย หากจะบุกตลาดพลังงานก็ต้องเริ่มตั้งแต่แหล่งต้นน้ำ เพื่อส่งต่อมายังกลางน้ำและปลายน้ำชนิดครบวงจร
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจซื้อหุ้นเชลล์ และยังมองโอกาสว่าจะบุกตลาดพลังงานในเอเซียต่อไป จับตาต่อไปว่าการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 นี้ จะร่วมวงประมูลรอบใหม่ โดยใช้ประสบการณ์จากแหล่งก๊าซบงกช เพราะมองตลาดอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพในด้านพลังงานในอนาคต
ส่วนนโยบายรัฐในการตัดสินใจเรื่อง พรบ. ปิโตรเลียมว่าจะเปิดสัมปทานรอบ 21 จะเดินหน้าต่อไปหรือไม่อย่างไรนั้น ยังไร้คำตอบลังเลยังไม่กล้าตัดสินใจ
ต่างชาติกำลังจับตามอง จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าและตัดสินใจว่าจะไปในทิศทางไหน ไม่เช่นนั้นเอกชนที่ลงทุนด้านพลังงานเพ่นหนีหมด เพราะไม่รู้ทิศทางและอนาคตพลังงานของไทยจะเป็นอย่างไร