ผู้จัดการรายวัน 360 - “เมเจอร์ฯ” ทุ่มหนัก 1,000 ล้านบาทปี 60 ผุดอีกไม่ต่ำกว่า 80 จอ สานต่อเป้าหมายครบ 1,000 จอในปี 2563 โดยตลาดในไทยลงรากลึกระดับอำเภอและตำบล มั่นใจตลาดรวมยังมีโอกาสอีกมาก พร้อมบุกซีแอลเอ็มวีต่อเนื่อง ชูไฮเทคระบบเลเซอร์โปรเจกเตอร์ดึงลูกค้า
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 จะใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทในการขยายสาขาโรงหนังเมเจอร์ฯ ในไทยอีกอย่างต่ำ 70-80 จอ และในลาว 1 จอ และที่กัมพูชา 1-2 จอ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีระดับตลาดอำเภอกว่า 10 อำเภอ และเริ่มตลาดระดับตำบลบ้างแล้วในปีนี้ เพื่อสู่เป้าหมายจำนวน 1,000 จอในปี 2563 (ขณะนั้นเมเจอร์ฯ จะมีในไทยประมาณ 900 จอ และซีแอลเอ็มวี 100 จอ) โดยจะขยายทั้งในไทยเน้นตลาดต่างจังหวัดระดับอำเภอและตำบลมากขึ้นกว่า 80% ของจำนวนที่เปิดใหม่ปีนี้ รวมทั้งตลาดซีแอลเอ็มวีมากขึ้นด้วย
“ผมมองว่าเมืองไทยยังมีโอกาสขยายโรงหนังได้อีกมาก เช่นเดียวกับตลาดซีแอลเอ็มวีที่เป็นตลาดเติบโตดี ทุกคนมุ่งไปที่นี่ทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันตลาดรวมโรงหนังในไทยยังมีไม่ถึง 1,000 จอหรือเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 15 โรง ขณะที่เกาหลีมีกว่า 2,000 จอ เฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 50 จอ หรือที่อเมริกาก็มีเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 125 จอ ส่วนที่จีนมีมากกว่า 40,000 จอ ซึ่งที่จีนและอินเดียถือเป็นตลาดใหญ่ของหนังฮอลลีวูดก็ว่าได้ ส่วนไทยก็ใหญ่เหมือนกันในระดับตลาดอาเซียนสำหรับหนังฮอลลีวูด แต่ราคาตั๋วหนังเรายังต่ำอยู่ เช่น เฉลี่ย 150 บาทต่อที่นั่ง ต่ำกว่าที่เกาหลีเกือบ 5 เท่า ส่วนที่อเมริกาประมาณเกือบ 400 บาทต่อที่นั่ง”
สำหรับตลาดหนังรวมปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นเพราะมีหนังใหญ่ทั้งต่างประเทศของฮอลลีวูดมากขึ้น เช่น ทรานส์ฟอร์เมชันภาคต่อ, ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียสภาคต่อ, ทอยส์สตอรี, สไปเดอร์แมน เป็นต้น และมีหนังไทยมากขึ้น เช่น ค่ายเมเจอร์ปีนี้ก็จะผลิตหนังไทยมากกว่า 12 เรื่องแล้ว ค่ายทีโมเมนต์ก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 เรื่อง ค่ายจีดีเอชไม่ต่ำกว่า 2 เรื่อง สัดส่วนรายได้หนังไทยหลักๆ จะมาจากต่างจังหวัดถึง 50%
ปี 60 เมเจอร์ฯ คาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 15-20% รายได้รวมเกือบ 10,000 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วเติบโต 6-7% เท่ากับตลาดรวมหนังที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท
นายวิชากล่าวว่า ล่าสุดเมเจอร์ฯ ได้นำเข้าระบบการฉายจากประเทศอเมริกาด้วยระบบ “เลเซอร์โปรเจกเตอร์” ครั้งแรกของเมืองไทย Christie RGB Laser ให้ภาพคมชัดระดับ 4K มากกว่าเดิม 2 เท่า ให้เฉดสีเพิ่มจากเดิม 2 เท่าเป็น 35 ล้านล้านเฉดสี โดยเมเจอร์เป็นรายเดียวของไทยที่ระบบนี้เข้ามาฉายที่โรงสยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 พารากอน ขนาดจอกว้าง 24 เมตร จุ 1,092 ที่นั่ง และอีก 2 โรงที่พารากอน และจะทยอยติดตั้งเพิ่มในโรงหนังที่เป็นสาขาระดับพรีเมียม เช่น เมกะ บางนา เอ็มควอเธียร์ เซ็นทรัลเวสต์เกต เป็นต้น เฉลี่ยลงทุนเครื่องละมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ราคาตั๋วยังไม่มีการปรับราคาขึ้น ซึ่งการที่เราลงทุนระบบเลเซอร์นี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของเมเจอร์ฯ ที่จะก้าวสู่ MAJOR 5.0 Digitalization Society คือการนำนวัตกรรมมาใช้
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 จะใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทในการขยายสาขาโรงหนังเมเจอร์ฯ ในไทยอีกอย่างต่ำ 70-80 จอ และในลาว 1 จอ และที่กัมพูชา 1-2 จอ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีระดับตลาดอำเภอกว่า 10 อำเภอ และเริ่มตลาดระดับตำบลบ้างแล้วในปีนี้ เพื่อสู่เป้าหมายจำนวน 1,000 จอในปี 2563 (ขณะนั้นเมเจอร์ฯ จะมีในไทยประมาณ 900 จอ และซีแอลเอ็มวี 100 จอ) โดยจะขยายทั้งในไทยเน้นตลาดต่างจังหวัดระดับอำเภอและตำบลมากขึ้นกว่า 80% ของจำนวนที่เปิดใหม่ปีนี้ รวมทั้งตลาดซีแอลเอ็มวีมากขึ้นด้วย
“ผมมองว่าเมืองไทยยังมีโอกาสขยายโรงหนังได้อีกมาก เช่นเดียวกับตลาดซีแอลเอ็มวีที่เป็นตลาดเติบโตดี ทุกคนมุ่งไปที่นี่ทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันตลาดรวมโรงหนังในไทยยังมีไม่ถึง 1,000 จอหรือเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 15 โรง ขณะที่เกาหลีมีกว่า 2,000 จอ เฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 50 จอ หรือที่อเมริกาก็มีเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อ 125 จอ ส่วนที่จีนมีมากกว่า 40,000 จอ ซึ่งที่จีนและอินเดียถือเป็นตลาดใหญ่ของหนังฮอลลีวูดก็ว่าได้ ส่วนไทยก็ใหญ่เหมือนกันในระดับตลาดอาเซียนสำหรับหนังฮอลลีวูด แต่ราคาตั๋วหนังเรายังต่ำอยู่ เช่น เฉลี่ย 150 บาทต่อที่นั่ง ต่ำกว่าที่เกาหลีเกือบ 5 เท่า ส่วนที่อเมริกาประมาณเกือบ 400 บาทต่อที่นั่ง”
สำหรับตลาดหนังรวมปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นเพราะมีหนังใหญ่ทั้งต่างประเทศของฮอลลีวูดมากขึ้น เช่น ทรานส์ฟอร์เมชันภาคต่อ, ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียสภาคต่อ, ทอยส์สตอรี, สไปเดอร์แมน เป็นต้น และมีหนังไทยมากขึ้น เช่น ค่ายเมเจอร์ปีนี้ก็จะผลิตหนังไทยมากกว่า 12 เรื่องแล้ว ค่ายทีโมเมนต์ก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 เรื่อง ค่ายจีดีเอชไม่ต่ำกว่า 2 เรื่อง สัดส่วนรายได้หนังไทยหลักๆ จะมาจากต่างจังหวัดถึง 50%
ปี 60 เมเจอร์ฯ คาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 15-20% รายได้รวมเกือบ 10,000 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วเติบโต 6-7% เท่ากับตลาดรวมหนังที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท
นายวิชากล่าวว่า ล่าสุดเมเจอร์ฯ ได้นำเข้าระบบการฉายจากประเทศอเมริกาด้วยระบบ “เลเซอร์โปรเจกเตอร์” ครั้งแรกของเมืองไทย Christie RGB Laser ให้ภาพคมชัดระดับ 4K มากกว่าเดิม 2 เท่า ให้เฉดสีเพิ่มจากเดิม 2 เท่าเป็น 35 ล้านล้านเฉดสี โดยเมเจอร์เป็นรายเดียวของไทยที่ระบบนี้เข้ามาฉายที่โรงสยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 พารากอน ขนาดจอกว้าง 24 เมตร จุ 1,092 ที่นั่ง และอีก 2 โรงที่พารากอน และจะทยอยติดตั้งเพิ่มในโรงหนังที่เป็นสาขาระดับพรีเมียม เช่น เมกะ บางนา เอ็มควอเธียร์ เซ็นทรัลเวสต์เกต เป็นต้น เฉลี่ยลงทุนเครื่องละมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ราคาตั๋วยังไม่มีการปรับราคาขึ้น ซึ่งการที่เราลงทุนระบบเลเซอร์นี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของเมเจอร์ฯ ที่จะก้าวสู่ MAJOR 5.0 Digitalization Society คือการนำนวัตกรรมมาใช้