ผู้จัดการรายวัน 360 - “อัลทรอน” ทีวีแบรนด์ไทยเดินหน้าลุยต่อเนื่อง ผนึก “ดูนี่” เพิ่มฟีเจอร์ดูซีรีส์ฟรี 90 วัน พร้อมอัดงบลุยตลาดอย่างจริงจัง หวังแบรนด์แข็งแกร่ง ยึดส่วนแบ่ง 5% ในตลาดทีวีรวม 3.1 หมื่นล้านบาทใน 3 ปี คาดปีนี้รายได้แตะ 400 ล้านบาท
นายนรินทร์เดช ทวีแสงพานิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย ฮาเบล อินดัสเตรียล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายทีวีแบรนด์ไทย “อัลทรอน” เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทีวีในปี 2559 มีมูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2560 คาดว่าจะยังทรงตัว โดย “อัลทรอน” ถือเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่รุกมาสร้างตลาดอย่างจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดีจากยอดขายกว่า 6 หมื่น เครื่องภายใต้การทำตลาดในรูปแบบจับมือกับพันธมิตรเป็นหลัก ส่วนในปี 2560 บริษัทฯ พร้อมใช้งบฯ ในหลักสิบล้านบาทขึ้นไปสำหรับทำการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง พร้อมด้วยกลยุทธ์จับมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเน้นช่องทางขายออนไลน์มากขึ้น มั่นใจว่าน่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท จากปีก่อนปิดที่ 320 ล้านบาท
“แผนการทำตลาดของบริษัทฯ ต้องการเติบโตแบบยั่งยืน ดังนั้นใน 3 ปีนี้จึงจะมุ่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พร้อมส่วนแบ่ง 5% ในตลาดทีวีรวมในประเทศหลังจากนั้นจะรุกตลาดต่างประเทศในกลุ่มอินโดไชน่า และ CLMV ต่อไป จากปัจจุบันมีการจำหน่ายในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น ลาว ผ่านดิสทริบิวเตอร์ ส่วนกัมพูชาและพม่าผ่านทางชายแดน เป็นต้น”
ล่าสุดจับมือกับทางแอปพลิเคชัน “ดูนี่” จัดแคมเปญ “แบรนด์ไทยทำได้” เป็นการร่วมทำโปรโมชั่นตอกย้ำแบรนด์โพซิชั่นนิ่งของ “อัลทรอน” ในเรื่องความเป็นไทยอีกครั้ง โดยลูกค้าที่ซื้อทีวีรุ่น LTV-5001 ขนาด 50 นิ้ว พร้อมรีโมทที่เพิ่มฟังก์ชั่น One Touch Access ในราคา 14,990 บาท รับสิทธิ์ดูคอนเทนต์จาก “ดูนี่” ได้ไม่อั้นนาน 90 วัน พร้อมหมอนรองคอ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 ก.พ.60 โดยคาดว่าจะทำยอดขายจากแคมเปญดังกล่าวประมาณ 2 หมื่นเครื่อง
สำหรับ “อัลทรอน” เป็นทีวีแบรนด์ไทยที่เข้าสู่การทำตลาดมาได้ปีกว่า เริ่มต้นมีช่องทางขายทั้งโมเดิร์นเทรดและดีลเลอร์รวมกันเพียง 200 ราย ปีนี้เพิ่มเป็น 500 ราย ครอบคลุมทั่วประเทศ เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลางขึ้นบนมากขึ้น พร้อมนำเสนอทีวีจอใหญ่มากขึ้น จากปีก่อนมีวางจำหน่าย 10 รุ่น ปีนี้จะเพิ่มเข้ามาอีก 5 รุ่น เน้นไซส์ใหญ่และฟีเจอร์ความเป็นสมาร์ททีวีมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้แบรนด์อัลทรอนทำรายได้เป็น 60% เทียบกับรายได้รวมทั้งหมด โดยอีกกว่า 40% มาจากโออีเอ็มให้แบรนด์อื่นๆ