ผู้จัดการรายวัน 360 - เผยต่างชาติแห่ร่วมงานอีเวนต์ในกลุ่มประเทศอาเซียน หวังศึกษาช่องทางตลาดใหม่ทดแทนตลาดไทยที่เริ่มอิ่มตัวและแข่งขันสูง “จี-ยู ครีเอทีฟ” ปรับแผนรักษาฐานลูกค้า เตรียมเปลี่ยนแนวรบลุยพื้นที่เพื่อนบ้านจัดงานอีเวนต์สไตล์ญี่ปุ่นในปี 60 หวังผลการจัดงาน Japan Expo Thailand 2017 ดึงผู้ร่วมงาน 5 แสนคน พร้อมสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน 500 ล้านบาท
น.ส.ยุพเรศ เอกธุระประคัลภ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จี-ยู ครีเอทีฟ จำกัด (G-Yu Creative) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น “ไมนิจิ” รวมถึงธุรกิจจัดงานอีเวนต์สไตล์ญี่ปุ่น และอื่นๆ เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมประมาณ 300 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นธุรกิจอีเว้นท์ 50% ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น 30% ธุรกิจท่องเที่ยว 10% และธุรกิจอาหาร 10% โดยคาดว่าในปี 2559 จะสามารถทำรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากก่อนหน้านั้นที่เคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 50%
ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตลดลงคือภาวะเศรษฐกิจและภาพลักษณ์โดยรวมของประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอันเป็นผลมาจากภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่บริษัทมีรายได้หลักจากการจัดงานอีเวนต์สไตล์ญี่ปุ่นซึ่งมีลูกค้าต่างชาติเป็นจำนวนมากจึงทำให้ลูกค้าบางส่วนชะลอการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมงานอีเวนต์บางงาน
ขณะเดียวกัน การเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ยังมีผลให้นักธุรกิจนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นลูกค้าหลักของบริษัทฯ เริ่มให้ความสนใจในการศึกษาลู่ทางการลงทุนในตลาดใหม่ๆ นอกจากประเทศไทยมากขึ้น เช่น เวียดนาม พม่า และมาเลเซีย เนื่องจากธุรกิจญี่ปุ่นบางประเภทเริ่มมีการอิ่มตัวและอยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูงในประเทศไทย เช่น ร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ และเอสเอ็มอีบางประเภท เป็นต้น
“บริษัทฯ ถือเป็นผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านการดำเนินธุรกิจอีเวนต์สไตล์ญี่ปุ่นหลากหลายลักษณะในประเทศไทย ทั้งในธุรกิจการศึกษา การท่องเที่ยว อาหาร แฟชั่น บันเทิง วัฒนธรรม และอื่นๆ โดยมีฐานกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น 70% และชาวญี่ปุ่นที่ประกอบธุรกิจ หรืออาชีพในประเทศไทย 30% ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องปรับตัวรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการพยายามศึกษาช่องทางตลาดการจัดงานอีเวนต์สไตล์ญี่ปุ่นในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น พม่า และเวียดนาม เป็นต้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้ในปี 2560” น.ส.ยุพเรศกล่าวเสริม
ล่าสุด บริษัทฯ มีแผนจัดงาน Japan Expo Thailand 2017 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 130 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 10-12 ก.พ. 2559 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยใช้งบฯ ลงทุน 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ใช้เพียง 30 ล้านบาท พร้อมเพิ่มพื้นที่จัดงานเป็น 1.5 หมื่น ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากเดิม 1.2 หมื่น ตร.ม.
“การจัดงานนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อ Japan Expo Thailand โดยก่อนหน้านี้ถูกจัดขึ้นภายใต้ชื่อ Japan Festa มาแล้วประมาณ 12 ปี แต่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Japan Expo Thailand เมื่อการจัดงานครั้งที่ 10 โดยการจัดงานครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติมาร่วมออกบูทประมาณ 200 ราย แบ่งเป็น 10 โซน คือ แฟชั่น การท่องเที่ยว อาหาร ศิลปะ บันเทิง วัฒนธรรม กีฬา การ์ตูน แอนิเมชั่น และการศึกษา โดยคาดว่าจะมีผู้ร่วมงานประมาณ 5 แสนคน แบ่งเป็นคนไทย 70% ต่างชาติ 30% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีประมาณ 4 แสนคน” น.ส.ยุพเรศกล่าว
การจัดงาน Japan Expo Thailand 2017 ยังเน้นในส่วนของการเจรจาการค้าทางธุรกิจ โดยมีผู้กลุ่มผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าร่วมงานเพื่อการต่อยอดธุรกิจกับประเทศไทยเป็นจำนวนมากซึ่งที่ผ่านมามีสัดส่วนสูงถึง 50% ขณะเดียวกันยังมีนักธุรกิจจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้ามาร่วมงานด้วย ทั้งจากรัสเซีย ฝรั่งเศส ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย และอื่นๆ โดยคาดว่าจะมีส่วนสร้างเงินหมุนเวียนประมาณ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 300 ล้านบาท
“แม้ปัจจุบันคนไทยจะเริ่มนิยมกระแสเค-ป็อปจากประเทศเกาหลีใต้มากขึ้นแต่ก็เป็นเพียงบางเรื่อง เช่น เครื่องสำอางและบันเทิง เป็นต้น ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ของประเทศญี่ปุ่น เช่น ท่องเที่ยว อาหาร และเทคโนโลยี การจัดงาน Japan Expo Thailand 2017 จึงตอบสนองความต้องการของคนไทยได้อย่างดี จากอดีตที่ผ่านมาที่ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง แต่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นทุกเพศทุกวัย โดยเน้นการนำความรู้และคอนเทนต์ต่างๆ ของชาวญี่ปุ่นมาต่อยอดให้คนไทยได้ทดลองปฏิบัติ เช่น การฝึกงานศิลปะ การทดลองทำอาหารกล่องเบนโตะ และอื่นๆ”
น.ส.ยุพเรศกล่าวด้วยว่า งาน Japan Expo Thailand 2017 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Infinite Japan” รวมความเป็นที่สุดที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเอกลักษณ์ญี่ปุ่น นับเป็นงานญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและระดับเอเชียที่รวบรวมเสน่ห์อันหลากหลายของความเป็นญี่ปุ่นมาไว้ในงานเดียว พร้อมโชว์ศักยภาพในการนำเอกลักษณ์แท้ในด้านต่างๆ จากญี่ปุ่นมาร่วมงานอย่างคับคั่ง รวมทั้งศิลปินระดับแถวหน้ากว่า 50 ชีวิตที่จะมาโชว์ในงานนี้โดยเฉพาะ
สำหรับไฮไลต์ของแต่ละโซน ถูกแบ่งออกเป็น Indoor Zone ซึ่งจะมีโซน Travel & Prefecture ที่ JTB จะนำ JR Pass (ตั๋วรถไฟ) มาให้คนไทยได้ชอปในราคาพิเศษ พร้อมแพกเกจทัวร์ญี่ปุ่นราคาพิเศษ โซน Health & Beauty Zone จำหน่ายสินค้าเรื่องความสวยงามและแฟชั่นต่างๆ โซน Culture Zone สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นทั้งแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัย รวมทั้งโซน Japan Promotion Zone ซึ่งสถานีโทรทัศน์จากญี่ปุ่นจะมาโปรโมตรายการและสินค้าใหม่ๆ ที่จะมีการเปิดตัวสินค้าภายในงาน
นอกจากนี้ยังมีโซน Education ที่จะมีการให้ข้อมูลการเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นพร้อมบริการตรวจเช็กเอกสารแบบครบวงจร รวมถึงเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ มาให้ความรู้และแนะนำเรื่องการเรียนภาษาญี่ปุ่น ทุนการศึกษา พร้อมพบกับตัวแทนจากสถาบันญี่ปุ่นทั่วทุกภูมิภาคที่จะบินตรงมาให้คำปรึกษาเรื่องการไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
ส่วน Outdoor Zone แบ่งออกเป็น โซน Sport มวยปล้ำ จาก Tohoku (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) และเตรียมอิ่มอร่อยกับอาหารญี่ปุ่นที่จะรวบรวมร้านอร่อยจากต้นตำรับบินตรงมาออกงานนี้กันกว่า 30 ร้านค้า และยังมีโซนที่จะให้กลุ่มครอบครัวและผู้รักาอานิเมะมาร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ในโซนนี้อีกเช่นกัน
น.ส.ยุพเรศยังกล่าวถึงธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น “ไมนิจิ” ด้วยว่า ปัจจุบันดำเนินงานมาถึง 20 ปี แต่ด้วยเหตุที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญในเรื่องของบุคลากรผู้สอนซึ่งจะต้องเป็นชาวญี่ปุ่นและจบหลักสูตรการเรียนการสอนโดยตรง ทำให้ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมาโดยตลอด ปัจจุบันจึงยังคงมีสาขาเพียง 3 แห่งคือ กรุงเทพฯ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และ จ.นครปฐม โดยสาขากรุงเทพฯ มีนักเรียนหมุนเวียนประมาณ 1 พันคน ส่วนสาขา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และ จ.นครปฐม มีนักเรียนประมาณ 500 คน ขณะที่มีอาจารย์ผู้สอนประจำประมาณ 10 คน คิดเป็นสัดส่วนอาจารย์ 1 คนต่อนักเรียน 20 คน