ผู้จัดการรายวัน 360 - “เสี่ยใหญ่-บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ ฉายภาพเศรษฐกิจไทยพร้อมแล่นฉิวเพราะผ่านจุดวิกฤติมาแล้ว เปรียบเหมือนรถยนต์กำลังรอขึ้นทางด่วน Easy Pass คาดจีดีพีไทยปี 59 เกิน 3% ส่วนเครือสหพัฒน์หวังผลเติบโต 5-6% เผยแผนลงทุนยึดหลัก “ประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพ” เปิดกว้างร่วมทุนกับทุกประเทศ หวังเทคโนโลยีและเปิดตลาดใหม่
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันผ่านจุดวิกฤติและอุปสรรคต่างๆ มาแล้ว เปรียบเสมือนรถยนต์กำลังรอขึ้นทางด่วน Easy Pass ซึ่งเมื่อผ่านด่านจ่ายค่าผ่านทางแล้วก็จะแล่นฉิวต่อไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าอำนาจการซื้อจะค่อยๆ ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากภาพรวมของธุรกิจอาหารที่เริ่มดีขึ้นซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ว่าจะส่งผลให้ธุรกิจอื่นๆ เติบโตตามไปด้วย
สำหรับการบริหารงานของรัฐบาลถือว่าดำเนินมาถูกทางแล้วและไม่น่าจะมีอุปสรรคใดที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น แนวคิดการออกกฎหมายภาษีมรดกเมื่อปี 2558 โดยเฉพาะการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ส่งผลให้ภาวะการค้าการลงทุนไปได้ดี แต่สิ่งที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการคือ เร่งขับเคลื่อนการลงทุนด้านต่างๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วโดยเฉพาะระบบคมนาคมรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยมั่นใจว่าในปี 2559 อัตราการเติบโตทางจีดีพีของประเทศไทยน่าจะมากกว่า 3%
นายบุณยสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเครือสหพัฒน์คาดว่าในปี 2559 จะมีผลประกอบการเติบโตขึ้น 5-6% จากปี 2558 ที่เติบโตเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีบางธุรกิจที่ดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาผลประกอบการของเครือสหพัฒน์มีการเติบโตมากกว่าอัตราการเติบโตทางจีดีพีของประเทศประมาณ 3-4 เท่า เพราะธุรกิจทุกประเภทล้วนมีการเติบโตในระดับสองหลักขึ้นไป
สำหรับแผนการลงทุนของเครือสหพัฒน์ในปี 2559 จะยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยยึดนโยบาย “ประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพ” เป็นหลักซึ่งจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังโดยจะให้ความสำคัญต่อการลงทุนด้านธุรกิจสิ่งทอทั้งการขยายโรงงานและกำลังการผลิตภายในสวนอุตสาหกรรมสหพัฒน์ อ.แม่สอด จ.ตาก รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารซึ่งมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดทั้งในส่วนของการบริโภคของคนไทยและต่างชาติ ตามนโยบายของรัฐบาลในการผลักดัน “ครัวไทยสู่ครัวโลก”
“ในปี 2559 เครือสหพัฒน์ยังจะเน้นร่วมลงทุนกับต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนและจีนเพื่อต้องการเทคโนโลยีและการเปิดตลาดใหม่ๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจในเครือที่มีความพร้อมสามารถไปลงทุนประเทศต่างๆ ได้ทันที แต่การลงทุนจากนี้เป็นต้นไปต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและของโลกจะดีมากเพียงใดก็ตาม เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วันนี้อาจดำเนินธุรกิจได้ผลดี แต่วันพรุ่งนี้อาจตกลงก็เป็นไปได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกหลายอย่างโดยเฉพาะภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม และภัยแล้ง เป็นต้น”
ล่าสุดภายในงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิ.ย. - 3 ก.ค. 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ยังจะมีการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับต่างประเทศหลายโครงการ ได้แก่ การเซ็นสัญญาระหว่าง บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กับ Japanese Ramen ประเทศญี่ปุ่น การเซ็นสัญญาระหว่าง บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กับ MayFlower Group ประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจร และการเซ็นสัญญาระหว่าง บริษัท ไทยอรุซ จำกัด กับ MK Group เพื่อก่อตั้งบริษัท Arusu Myanmar เพื่อดำเนินธุรกิจออกแบบตกแต่งร้านค้าและสำนักงานในประเทศพม่า
ในปี 2559 เครือสหพัฒน์ยังเริ่มให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีดิจิตอลและระบบอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น เพราะถ้าทำช้าก็จะเสียโอกาสทางธุรกิจ ประกอบกับรัฐบาลกำลังผลักดันระบบเศรษฐกิจดิจิตอล หรือ Digital Economy โดยถือโอกาสการจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20” เปิดตัวเทคโนโลยีดิจิตอลที่ใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าในรูปแบบต่างๆ เช่น ร้านค้าเสมือนจริง QR Code, ร้านค้าเสมือนจริง 3D (Virtual Augmented Reality Store), ห้องลองเสื้อผ้าเสมือน (Virtual Fitting Room) และอื่นๆ
นายบุณยสิทธิ์กล่าวในตอนท้ายว่า ผู้บริโภคคนไทยในปัจจุบันมีพฤติกรรมการใช้จ่ายในลักษณะฉลาดซื้อซึ่งถือเป็นข้อดีที่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นจากอดีตที่มีสินค้าใหม่มักจะขายได้ดีแต่ปัจจุบันสินค้าบางชนิดอาจต้องใช้เวลา 5-6 ปีกว่าที่จะติดตลาด