xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหนังวูบหนัก 10% เพิ่มอินเซนทีฟยืดเวลา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

“สุภอร  รัตนมงคลมาศ” กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ประจำประเทศไทย บริษัท โซนี่  พิคเจอร์ส รีลิสซิ่ง วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ (ประเทศไทย) จำกัด
ตลาดรวมหนังปี 2558 คาดตกลงหนัก 10% เหลือแค่ 4,120 ล้านบาท จาก 3 ปัจจัยหลักกระทบ “เศรษฐกิจไม่ดี-หนังทำเงินน้อย-อายุหนังสั้น” ค่ายหนังเดินหน้าเตรียมถกค่ายโรงหนังยืดอายุหนังให้นานขึ้นเพื่อทำเงินต่อ เสนออินเซนทีฟให้มากขึ้น ด้าน “โซนี่” ประเดิม 2 เรื่องแล้วได้ผลดี ปีนี้คาดรายได้เติบโต 16% สวนกระแสตลาดรวม จากหนัง 18 เรื่อง ขณะที่หนังไทยปีนี้เดี้ยง

น.ส.สุภอร รัตนมงคลมาศ กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ประจำประเทศไทย บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส รีลิสซิ่ง วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมธุรกิจหนัง (กรุงเทพฯ ปริมณฑลและเชียงใหม่) ในปี 2558 คาดว่าจะตกลงประมาณ 6-10% หรือมีมูลค่าประมาณ 4,120 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ตลาดรวมมีมูลค่า 4,600 ล้านบาท เติบโต 1% จากปี 2556 ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 9 เดือนพบว่า 3 ค่ายใหญ่วงการหนังต่างประเทศมีรายได้ ดังนี้ 1. ค่ายยูไอพี รายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท 2. ค่ายโซนี่ฯ รายได้ประมาณ 730 ล้านบาท และ 3. ค่ายฟ็อกซ์ รายได้ประมาณ 590 ล้านบาท

สาเหตุที่ตลาดรวมปีนี้ตกลงมากเป็นเพราะ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่ค่อยดี คาดว่าปีนี้จีดีพีคงประมาณ 2.5% ซึ่งในอดีตแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำแต่อุตสาหกรรมหนังก็ยังเติบโตได้บ้าง 2. หนังฟอร์มใหญ่ปีนี้น้อย และหนังไทยรวมทั้งหนังขนาดกลางทำเงินน้อยกว่าที่คาดไว้ และ 3. อายุของหนังสั้นลงทำให้โอกาสทำเงินน้อยลงด้วย

ในส่วนของปัญหาอายุหนังที่สั้นลงจากการที่โรงหนังต้องการนำหนังใหม่ๆ เข้าฉายนั้น บริษัทฯ ใช้แนวคิดแก้ปัญหาอายุหนังสั้นด้วยการเสนอรายได้ให้กโรงหนังมากขึ้นในการยืดเวลาฉายโรงต่อไป จากเดิมที่มีการตกลงกันในช่วงหนังเข้าสองสัปดาห์แรกโดยเฉลี่ย หรือการเสนอสิ่งจูงใจมากขึ้นกับหนังที่ต้องการจะให้ฉายนานขึ้น ซึ่งบริษัทฯ เริ่มใช้กลยุทธ์นี้กับหนัง 2 เรื่อง คือ “แอนท์แมน” และ “อินไซด์เอ้าท์” กับสองค่ายโรงหนังใหญ่ คือ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กับเอสเอฟซีเนม่า ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี จึงมีแนวคิดจะรวมกับค่ายหนังด้วยกันเพื่อนำแนวทางดังกล่าวนี้ไปเสนอให้โรงหนังซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มได้ เพราะทุกบริษัทจะเห็นผลประกอบการอออกมาว่าเป็นอย่างไร จากตลาดรวมที่ตกลงซึ่งจะทำให้โรงหนังรับรู้ปัญหาได้ง่ายขึ้น

“เรื่องนี้คงต้องเป็นวาระร่วมกันเป็นวาระใหญ่ของวงการหนังบ้านเรา การที่เราเลี้ยงหนัง หรือยืดอายุหนังออกไป โอกาสทำเงินก็มากขึ้นเพราะคนมาโรงหนังต้องมีโอกาสในการเลือกและดูหนัง เราต้องพิสูจน์ให้โรงหนังรู้ว่าเมื่อเลี้ยงหนัง หรือยืดอายุการฉายหนังออกไปมันก็ยังได้ผลดีและยังทำเงินได้อยู่ ยิ่งตอนนี้เราเป็นโรงหนังระบบมัลติเพล็กซ์ จำนวนโรงและรอบฉายต่อสาขาก็มีมาก สามารถที่จะจัดสรรได้อยู่แล้ว”

ในขณะที่หนังไทยปีนี้ทำเงินสูงก็มีไม่กี่เรื่อง เช่น “ฟรีแลนซ์” ประมาณ 80 ล้านบาท ส่วนหนังระดับกลางปีนี้ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใด โดยพบว่าหนังไทยมีสัดส่วนรายได้เพียงแค่ 15% เท่านั้น น้อยมากจากอดีตเคยมีสัดส่วนสูงถึง 50% มาแล้ว

ทั้งนี้ ปี 2558 บริษัทฯ มีปริมาณหนังเข้าฉายประมาณ 18 เรื่อง และคาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 1,050 ล้านบาท เติบโตประมาณ 16% ขณะที่ปีที่แล้วมีปริมาณหนังเข้าฉายโรงประมาณ 18 เรื่อง มีรายได้ประมาณ 884 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้บริษัทมีหนังฟอร์มใหญ่ที่คาดว่าจะทำรายได้สูงอย่างน้อย 2 เรื่องคือ “เจมส์บอนด์ 007 ภาคที่ 24” เข้าฉายวันที่ 5 พฤศจิกายน ศกนี้ คาดว่าจะทำรายได้ในไทยประมาณ 150 กว่าล้านบาท จากครั้งหลังสุดที่ทำได้ 130 ล้านบาท และอีกเรื่องคือ “สตาร์ วอร์ส” เข้าฉายวันที่ 17 ธันวาคมศกนี้ คาดว่าทำรายได้ 200 ล้านบาท ขณะที่ค่ายอื่นมีหนังเรื่อง “ฮังเกอร์เกมส์ ภาคสุดท้าย” ของสหมงคลฟิล์ม

ส่วนปี 2559 น.ส.สุภอรกล่าวว่า บริษัทฯ จะมีปริมาณหนังฉายในโรงประมาณ 18 เรื่องเช่นกัน และตั้งเป้าหมายเติบโตประมาณ 5% เนื่องจากมีฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้นโดยจะมีครบทุกแนว ทั้งหนังฟอร์มใหญ่, แอนิเมชัน, หนังภาคต่อ และหนังรีบูต เป็นต้น เช่น มาร์เวล กัปตันอเมริกา, แองกรี้เบิร์ด, จูแมนจี้, โกสต์บัสเตอร์ เป็นต้น

สำหรับภาพรวมตลาดหนังในปีนี้ที่คาดว่าจะตกลงประมาณ 6-10% นั้น มีหนังฟอร์มใหญ่ที่ทำเงินได้ระดับ 300 ล้านบาทเพียง 3 เรื่องเท่านั้น คือ 1. “ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส เร็วแรงทะลุนรก 7” ของค่ายยูไอพี ประมาณ 390 ล้านบาท 2. “ดิอะแวนเจอร์ 2 มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก” ของค่ายโซนี่ ประมาณ 300 ล้านบาท 3. “จูราสสิกเวิลด์” ของค่ายยูไอพีประมาณ 280 กว่าล้านบาท 4. “มิสชันอิมพอสซิเบิล ภาค 5” ของค่ายยูไอพี ประมาณ 140 กว่าล้านบาท 5. “แอนท์แมน มนุษย์มดมหากาฬ” ของค่ายโซนี่ ประมาณ 120 ล้านบาท



กำลังโหลดความคิดเห็น