ส.อ.ท.เผยแนวโน้ม “คลัสเตอร์ปิโตรเคมี” อีก 3-5 ปีข้างหน้าจะขยายการลงทุนเพิ่มไม่ต่ำกว่า 20,000-50,000 ล้านบาท หลังรัฐประกาศหนุนการลงทุนซูเปอร์คลัสเตอร์ 6 กลุ่ม แถมมีลุ้น “สมคิด” แก้ปัญหาผังเมืองใหม่ที่จำกัดการลงทุนในมาบตาพุด
นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคลัสเตอร์ปิโตรเคมี เปิดเผยระหว่างเยี่ยมชมโรงงานพรีแพค ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างคลัสเตอร์ปิโตรเคมีว่า ปัจจุบันการลงทุนคลัสเตอร์ปิโตรเคมีในไทยมีไม่ต่ำกว่า 900,000 ล้านบาท และในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าจะขยายการลงทุนเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 20,000-50,000 ล้านบาทซึ่งจะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกจิในอนาคตเนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นนโยบายรัฐบาลล่าสุดที่ประกาศสนับสนุนการลงทุนซูเปอร์คลัสเตอร์ 6 กลุ่ม และความชัดเจนของการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด
“ก่อนหน้านี่มีการถกเถียงด้านผลกระทบสิ่งแดล้อมตามกฎหมายผังเมืองใหม่ ทำให้มีการจำกัดพื้นที่อุตสาหกรรม จากเดิมกำหนด 40,000 ไร่ เหลือ 26,000 ไร่ในนิคมฯ มาบตาพุด ส่งผลทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนเพิ่ม แต่นโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จะเดินหน้าเรื่องนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีจะเกิดการลงทุนเพิ่ม แต่ต้องรอความชัดเจนด้านการประกาศผังเมืองอีกครั้ง” นายบวรกล่าว
สำหรับคลัสเตอร์ไบโอพลาสติกในประเทศไทยมีทิศทางที่ดี ขณะนี้บริษัท พูแรค ประกาศชัดเจนจะลงทุนในระยองประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่เนเจอร์เวิร์ค พูดคุยกับ บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล (พีทีทีจีซี) คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนคลัสเตอร์เชื่อมโยงอุตสาหกรรมการเกษตรและปิโตรเคมีของประเทศ
นายบวรกล่าวว่า ผู้ประกอบการคลัสเตอร์ปิโตรเคมีมีเป้าหมายจะผลักดันให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่มีความมั่นคงด้านการผลิต Petro-based และพัฒนา Bio-based เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษควบคู่กับการดูแลสังคม ส่งแวดล้อมและชุมชน เป็นการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงผลิตตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมขยายไปสู่ไบโอพลาสติกและสินค้ามูลค่าเพิ่ม
“กรณีที่มีความเป็นห่วงว่าก๊าซธรรมชาติในประเทศจะมีปริมาณลดลง ซึ่งทาง ส.อ.ท.คาดหวังว่าเมื่อทำความเข้าใจกับสังคมได้แล้ว การเปิดสำรวจปิโตรเลียมรอบ 21 และการอนุญาตผลิตปิโตรเลียมจากสัมปทานเดิมที่จะหมดอายุปี 2565-2566 จะสามารถเดินหน้าได้ ซึ่งจะเชื่อมโยงให้ประเทศมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นผลต่อเศรษฐกิจไทยระยะยาว” นายบวรกล่าว
