ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยมีลุ้นลดราคาต่อเนื่องระยะสั้นตามทิศทางตลาดโลก กระทรวงพลังงานเปิดทางสะท้อนต้นทุนหลังฐานะกองทุนน้ำมันฯ เพียงพอยังไม่มีแผนเรียกเก็บสะสมเพิ่ม แต่ในส่วนของแอลพีจีมีโอกาสตรึงราคามากกว่าลด เหตุเงินสะสมยังต่ำ
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และรักษาการรองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาขายปลีกน้ำมันของไทยในระยะสั้นมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงตามทิศทางน้ำมันดิบตลาดโลก โดยเฉพาะดูไบที่คาดว่าจะเคลื่อนไหวระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 1-2 เดือนนี้จากเดิมที่คาดว่าจะเคลื่อนไหวระดับ 60-65 เหรียญต่อบาร์เรล ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดกังวลปริมาณน้ำมันอิหร่านจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นหลังมีข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับชาติมหาอำนาจ ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโลก (โอเปก) ยืนยันไม่ลดกำลังผลิตลง รวมถึงการผลิตก๊าซจากชั้นหินดินดาน หรือ Shale Gas ที่เพิ่มขึ้น
“ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยมีทิศทางอ่อนตัวลงตามทิศทางตลาดโลก เนื่องจากนโยบายของกระทรวงพลังงานขณะนี้เน้นการให้สะท้อนต้นทุนจริง เนื่องจากฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบันถือว่ารายได้อยู่ในระดับปานกลางที่กว่า 42,000 ล้านบาท แต่ได้แยกบัญชีในส่วนของน้ำมันกว่า 35,000 ล้านบาท และแอลพีจี 7,000 กว่าล้านบาท ดังนั้น ราคาน้ำมันหากมองทิศทางราคาตลาดโลกที่ยังคงอ่อนตัวก็ไม่น่าเป็นห่วงที่จะต้องจัดเก็บเพิ่มอีก แต่ในส่วนของแอลพีจีหากราคาตลาดโลกลดลงโอกาสจัดเก็บเข้ากองทุนฯ ยังมีสูงเนื่องจากยังมีเงินสะสมไว้รักษาเสถียรภาพราคาช่วงขาขึ้นยังน้อยอยู่” นายชวลิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าเฉลี่ย 1.60 บาทต่อลิตร แต่ทิศทางน้ำมันดิบล่าสุดมีความเคลื่อนไหวลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-2 วันที่จะสะท้อนไปยังราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ลดลง ก็จะมีผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยช่วงสุดสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับลดราคาได้อีกครั้ง