คลัสเตอร์ปิโตรเคมี ส.อ.ท. ซึ่งเกิดจากการรวมตัว 4 บิ๊กธุรกิจ ได้แก่ โรงกลั่น ปิโตรเคมี พลาสติก และเคมี วางเป้าผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในปี 2563 โดยเฉพาะมุ่งสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio -Industry) หวังรัฐหนุนปักหมุดภายในปีนี้เพื่อดึงธุรกิจยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่พร้อมจ่อลงทุนในไทย
นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคลัสเตอร์ปิโตรเคมี ส.อ.ท. เปิดเผยว่า คลัสเตอร์ปิโตรเคมีเกิดจากการรวมกลุ่มธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ปิโตรเคมี พลาสติก และเคมี โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้คลัสเตอร์ดังกล่าวก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในปี 2020 หรือปี 2563 เพื่อที่จะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพ หรือ Bio-Industry ซึ่งไทยมีศักยภาพจากที่เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตร ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง
“Bio Industry เป็นเทรนด์ของโลกที่เอกชนเห็นว่าไทยมีศักยภาพมากเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบ แต่จะต้องร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันและสนับสนุน ซึ่งขณะนี้ก็หารืออยู่กับกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะกำหนดเป็นโปรดักต์แชมเปียน รวมถึงการทำให้เกิดดีมานด์ในประเทศนำร่องเพื่อดึงดูดการตั้งโรงงาน เช่น การลดภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกชีวภาพลงมาเพื่อกระตุ้นตลาดเพราะขณะนี้ราคายังค่อนข้างแพง เป็นต้น ซึ่งหากเป็นไปได้เราก็อยากเห็นนโยบายที่ชัดเจนภายในปีนี้เพราะจะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับเกษตรกรไทย” นายบวรกล่าว
ทั้งนี้ มีนักลงทุนจากต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกไบโอชีวภาพในไทยแล้วอย่างน้อย 2-3 รายทั้งจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยกำลังรอความชัดเจนถึงการส่งเสริมการลงทุนในภาพรวม ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ 2 แห่งจะมีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ไทยเองก็มีคู่แข่งที่จะดึงการลงทุนคือมาเลเซียที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ค่อนข้างมาก โดยเครือ ปตท.เองก็มีพื้นที่ในการรองรับอุตสาหกรรมนี้ไว้แล้วคือที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ซึ่งหากมีการปักธงลงทุนขั้นต้นที่เป็น Bio-Base การลงทุนต่อเนื่องจะตามมาอีกมาก
นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนจากรัฐที่จะผลักดันให้คลัสเตอร์ปิโตรเคมีสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาค ได้แก่ มาตรการเชิงรุกในการส่งเสริมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า เช่น การส่งเสริมการลงทุน มาตรการด้านการตลาด เทคโนโลยีและข้อมูลการค้าเชิงลึก การปรับโครงสร้างราคาพลังงานในไทยที่ให้ความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน รวมถึงการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกลุ่มอุตสาหกรรมนี้
“วิสัยทัศน์ 2020 ของกลุ่มคลัสเตอร์ปิโตรเคมีมุ่งมั่นที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทาน พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต และบริหารการจัดการ สร้างความมั่นคงด้านการผลิตทั้ง Petro-based และพัฒนา bio-based พร้อมขยายขีดความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์พิเศษ (Specialty products) ด้วยเทคโนโลยี เพื่อก้าวสู่ผู้นำในเขตเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน (AEC) ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่องที่ปัจจุบันคลัสเตอร์นี้คิดเป็นสัดส่นในจีดีพีสูงถึง 10%” นายบวรกล่าว