ท่องเที่ยวส่งสัญญาณบวก “สยาม แอ็ท สยาม” ยิ้มปลายปีลุ้นคุ้มทุน 8 ปี เร็วกว่าที่คาดไว้ 3 ปี พร้อมกำ 4,000 ล้านบาทลุยอีก 2 โปรเจกต์ใน 5 ปี ทั้งไทยและเทศ มั่นใจแบรนด์ สยาม แอ็ท สยาม ถูกใจนักท่องเที่ยว มั่นใจปีนี้ส่งรายได้โต 30% และใน 5 ปีทะลุ 1,000 ล้านบาท
นางสาวประธานพร พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม แอ็ท สยาม จำกัด ผู้บริหารโรงแรม สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเทล เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์นักท่องเที่ยวปีนี้เริ่มพบสัญญาณบวก จากตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาไทยสูงจากปีที่ผ่านมา เห็นได้จากตัวเลขการเข้าพักในโรงแรมในช่วงไตรมาสแรกปีนี้สูงจากปีก่อน 26% หรือมีลูกค้าเข้าพักอยู่ที่ 80-90%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทั้งปีภาพรวมรายได้จะยังเป็นบวกอยู่ หรือทั้งปีตั้งเป้ารายได้เติบโตไว้กว่า 32% มาจาก 2 สาขา คือ 1. กรุงเทพฯ รายได้ประมาณ 322 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 217 ล้านบาท และ 2. พัทยา รายได้ประมาณ 257 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 125 ล้านบาท
“แนวโน้มลูกค้าที่เข้าพักโรงแรมยังสูงอยู่ ซึ่งโรงแรมในสาขากรุงเทพฯ ของเราจะมีนักท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งออสเตรเลีย ยุโรป ฮ่องกง จีน ส่วนสาขาพัทยา จะเป็นกลุ่มโลคัล รวมถึงเกาหลี และจีน ส่วนใหญ่มาเป็นคู่รัก เพื่อเข้ามาพักผ่อนและท่องเที่ยวแบบระยะยาว ขณะที่ลูกค้าที่เข้ามาพักในช่วงเวลาสั้นปีก่อนค่อนข้างน้อย แต่ปีนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่น่าจะส่งให้ภาพรวมรายได้ปีนี้เป็นไปตามเป้า และส่งผลให้มีรายได้คุ้มทุนในระยะเวลาเพียง 8 ปี จากเดิมที่วางไว้ 11 ปี หลังเปิดให้บริการ”
นางสาวประธานพรกล่าวต่อว่า แผนการดำเนินงานของบริษัท จะมุ่งสร้างแบรนด์โรงแรม สยาม แอ็ท สยามฯ ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้วในฐานะโรงแรมที่โดดเด่นในเรื่องของ ดีไซน์โฮเต็ล ระดับสี่ดาวครึ่ง ส่งผลให้มีแผนขยายสาขาใหม่อีก 2 แห่ง ด้วยงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท หรือสาขาละ 1,000-2,000 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปีหลังจากนี้ โดยยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็นดีไซน์โฮเต็ล และใช้ชื่อแบรนด์ว่า สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเทล ตามด้วยชื่อพื้นที่นั้นๆ
เบื้องต้นมองทำเลไว้ทั้งในไทยและเซาท์อีสต์เอเชีย โดยในไทยขณะนี้กำลังพิจารณาไว้หลายที่ ทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ส่วนในต่างประเทศเล็งไว้ที่พม่า และเขมร เชื่อว่าโปรเจกต์แรกน่าจะเกิดได้ในต่างประเทศ มีความเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นพม่า ที่เมืองย่างกุ้ง ซึ่งจะสรุปโปรเจกต์แรกได้ภายในปี 2559 ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศจะเน้นการลงทุนแบบจอยต์เวนเจอร์กับนักลงทุนท้องถิ่นเป็นหลัก ทั้งนี้ หากในอีก 5 ปีมีจำนวนสาขาครบ 4 สาขา รายได้รวมน่าจะสูงถึง 1,000 ล้านบาท
