“สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์” หัวเรือใหญ่คนใหม่ “ยูนิลีเวอร์ไทย” เปิดกลยุทธ์รุก ต้องสร้างตลาดใหม่ๆ และสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ๆ เพื่อดันตลาดโต ยืนยันบริษัทแม่ยังโฟกัสไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์หลัก พร้อมทุ่มงบลงทุนต่อเนื่อง 8,000 ล้านบาทช่วง 3 ปีนี้มากที่สุดในรอบ 20 ปี เล็งนำสินค้าใหม่เข้ามาขยายพอร์ตโฟลิโอ
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยหลังจากการเข้ารับตำแหน่งใหม่ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาและเป็นผู้หญิงไทยคนแรกที่ก้าวสู่ตำแหน่งนี้ว่า บริษัทฯ วางป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจเพิ่มเป็นสองเท่า จากปัจจุบันที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปีซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2553 มากที่สุดในรอบ 20 ปี
บริษัทฯ แม่ของยูนิลีเวอร์ยังมองเห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยที่เป็นตลาดหลักทางยุทธศาสตร์โลกของลีเวอร์ ซึ่งไทยจัดเป็นตลาดสำคัญมียอดขายลำดับที่ 19 ของยูนิลีเวอร์ทั่วโลกที่มีธุรกิจอยู่ใน 190 ประเทศ ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทฯในไทยเป็นไปตามเป้าหมาย
กลยุทธ์ของเราคือ การสร้างการเติบโตให้กับตลาด การสร้างเซ็กเม้นต์ตลาดใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และการนำสินค้าใหม่ๆ ของบริษัทในต่างประเทศที่ยังไม่มีทำตลาดในไทยเข้ามาทำตลาดในอนาคตซึ่งเรามีมากกว่า 400 แบรนด์ทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทยเรามีสินค้าทำตลาดมากกว่า 30 แบรนด์ และยังเป็นผู้นำตลาดถึง 8 แคธิกลอรี่จากทั้งหมด 12 แคธิกลอรี่
สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในไทยขณะนี้มาจาก ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล 40% ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน 36% อาหารและไอศกรีม 24% ขณะที่แต่ละปีบริษัทฯ จะใช้งบตลาดรวมกว่า 7,000 ล้านบาท โดยเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับสื่อดิจิตอลและทีวีดิจิตอลมากขึ้น
นางสุพัตรา กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุนในช่วงปี 2557-2559 มีมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท โดยแยกเป็น 1.สร้างสำนักงานใหม่ที่พระรามเก้า มูลค่า 2,600 ล้านบาท พื้นที่ 48,000 ตารางเมตร แล้วเสร็จปลายปีนี้ 2.สร้างแวร์เฮาส์ใหม่ 2,000 ล้านบาท 3.สร้างโรงงานผลิตของใช้ส่วนบุคคลชนิดเหลวที่มีนบุรี เพิ่มอีก 1,200 ล้านบาท 4.เตรียมที่จะสร้างห้องเย็นใหม่ มูลค่า 1,500 ล้านบาท 5.สร้างโรงอาหารใหม่ที่เกตุเวย์ 700 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ จะขับเคลื่อนด้วย 5 กลยุทธ์หลักคือ 1.การสร้างความรักความผูกพันต่อแบรนด์สินค้าและจะมีการทำตลาดแบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นด้วย ตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่คนไทยมีการถือครองมือถือมากกว่า 84 ล้านเครื่องและมีการใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 19 ล้านคน
2.ระบบการผลิตมาตรฐานซึ่งจะมีการลงทุนต่อเนื่อง เพราะไทยเป็นฐานผลิตหลักใหญ่อันดับ 3 ของยูนิลีเวอร์ทั่วโลกด้วยกำลังผลิตมากกว่า 4,700 ล้านชิ้นต่อปีจาก 8 โรงงาน 3.พันธมิตรทางการค้าที่แนบแน่นและหลากหลายทั้งโมเดิร์นเทรดและเทรดดิชันนัลเทรด 4.บุคลากรของบริษัทฯ เน้นการสร้างผู้บริหารรุ่นใหม่ๆ และ 5.ปฎิบัติการที่เป็นเลิศ
นางสุพัตรา กล่าวต่อว่า สาเหตุที่บริษัทฯมั่นใจตลาดประเทศไทยเนื่องจากว่า ในอนาคตเราประเมินว่าภายในปี 2020 หรืออีก 6 ปี (ปี 2563) ประเทศไทยจะมีระดับชนชั้นกลางมากขึ้นเป็น 50 ล้านคนซึ่งจะเป็นฐานตลาดที่ใหญ่และมีกำลังซื้อมาก โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีที่มีผลตั้งแต่ปี 2558 รวมทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่ง ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ระบบสาธารณูปโภค การสื่อสารต่างๆ ที่จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
“แม้ว่าที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจของไทยจะมีปัญหาบ้างก็ตาม สินค้าคอนซูเมอร์ก็ไม่ได้กระทบมาก หรือถ้าภาวะเศรษฐกิจของประเทศดี ตลาดคอนซูเมอร์มันก็ไม่ได้เติบโตมากหวือหวา เพราะเราเป็นสินค้าคอนซูเมอร์ใช้ในชีวิตประจำวันอยูแล้ว อาจจะมีกระทบบ้างระยะสั้น เช่น ผู้บริโภคปรับตัวใช้น้อยลง หรือซื้อสินค้าแพคใหญ่แบบประหยัดมากขึ้น หรือลดความถี่ในการซื้อ หรือซื้อจากโปรโมชั่น เป็นต้น โดยในแต่ละปีคนไทยใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์มากกว่า 60,400 ล้านครั้งต่อปี หรือประมาณ 1,000 ครั้งต่อคนต่อปี หรือ 3 ครั้งต่อคนต่อวัน ส่วนแผนธุรกิจในช่วงไตรมาสที่สี่เราก็มีการปรับตัวกันแล้ว คาดว่ากำลังซื้อและภาวะต่างๆโดยรวมน่าจะดีขึ้น”