“อินเด็กซ์” ทุ่มงบ 2,000 ล้านบาทลุยขยายสาขาปีนี้เต็มที่ พร้อมผุด “เดอะ วอล์ค” กลยุทธ์ใหม่ร่วมทุนกับไฮเปอร์มาร์เกตเข้ามาบริหารพื้นที่ค้าปลีกแทนในต่างจังหวัด ประเดิมดึง “เทสโก้ โลตัส” ที่ “เดอะ วอล์ค นครสวรรค์” เผยลงทุนเฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อปี ผุด 3 สาขา พร้อมร่วมทุนอิออนญี่ปุ่นลุยตลาดมาเลเซีย
นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ผู้บริหาร “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” และ “เดอะ วอล์ค คอมมูนิตี้มอลล์” เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้งบลงทุนฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อปีในการลงทุนขยายเฉลี่ย 3 สาขาต่อปีรวมทั้งเดอะวอล์คและอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจและโอกาสในการสร้างรายได้ด้วย
ขณะที่ปีนี้ลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก เช่น อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 3 สาขาที่โคราช ลงทุน 650 ล้านบาท เปิดพฤษภาคมนี้, พัทยา ลงทุน 600 ล้านบาท เป็นการย้ายทำเลใหม่ และอีก 1 แห่ง 350 ล้านบาท ในต่างจังหวัด และเปิด เดอะ วอล์ค ที่นครสวรรค์ ลงทุน 800 ล้านบาท เป็นสาขาแรกในต่างจังหวัดของ เดอะ วอล์ค ซึ่งปีนี้ลงทุนมากกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้วที่ลงทุนเพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนในต่างประเทศนั้นในปีนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ที่ร่วมทุนกับทางอิออนญี่ปุ่น ตั้งบริษัท อิออน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง เบอร์ฮาร์ด โดยอินเด็กซ์ถือหุ้น 30% และอิออนถือหุ้น 70% เปิดในมาเลเซียปลายปีนี้ ซึ่งหากประสวความสำเร็จตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ครบ 10 สาขาในมาเลเซีย ส่วนที่อินโดนีเซียก็มีความสนใจยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด จากปัจจุบันมีอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ในต่างประเทศประมาณ 8 สาขาเป็นแฟรนไชส์หมด
สำหรับแผนรุกตลาดในไทยนั้น ล่าสุดก็เปิดบริการเดอะวอล์คสาขานครสวรรค์ ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของอินเด็กซ์คือการร่วมกับพันธมิตรคือ เทสโก้โลตัส ที่จะเป็นผู้บริหารพื้นที่ค้าปลีกและร้านค้าทั้งหมด ส่วนอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์อยู่ชั้น 3 เก็บค่าเช่าจากเทสโก้โลตัส ซึ่งโครงการนี้เช่าพื้นที่จากกรมธนารักษ์ 30 ปี ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงให้กับตัวเองในการลงทุน เพราะถือว่าลงทุนต่ำกว่าเดิม และได้ผู้ชำนาญด้านค้าปลีกเข้ามาบริหารพื้นที่แทน
เดอะ วอล์ค นครสวรรค์ ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย ถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ พื้นที่ประมาณ 9,597 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสามรองจากเชียงใหม่ พิษณุโลก มีจำนวนประชากร 1,073,142 คน ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 79,335 บาทต่อคนต่อปี สังเกตได้ว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วยังไม่มีไฮเปอร์มาร์เกตมากนัก แต่ 2 ปีให้หลังพบว่ามีเทสโก้โลตัส 2 สาขา และบิ๊กซี 2 สาขา อีกทั้งเป็นเมืองหน้าด่านที่จะต้องผ่านภาคเหนือ และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ด้วยแล้วนครสวรรค์จะยิ่งมีความเจริญมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตมีแผนที่จะนำรูปแบบนี้ไปใช้กับสาขาอื่นๆ ที่การแข่งขันด้านค้าปลีกค่อนข้างรุนแรง แต่จะเป็นเทสโก้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นกรณีไป โดยตั้งเป้าหมายเปิดเดอะวอล์คให้ได้ปีละ 1 สาขา ซึ่งทางกลุ่มมีพื้นที่อยู่ประมาณ 5-6 แปลงในกรุงเทพฯ และต่างจังหงัด
นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า เดอะวอล์ค 2 โครงการที่เปิดมาแล้วคือ ราชพฤกษ์ เปิดมาแล้ว 2 ปี มีลูกค้าเข้าใช้บริการเพิ่ม 20% จากปีแรกเฉลี่ย 8,000 คนต่อวัน เป็นวันละ 9,600 คน และมีการเพิ่มร้านค้าใหม่ เช่น เลมอนฟาร์ม ส่วนสาขาเกษตร-นวมินทร์ เปิดไตรมาสสามปีที่แล้ว มีลูกค้าใช้บริการ 6,000 คนต่อวัน คาดว่าจะเพิ่มอีก 20% สิ้นปีนี้ จากการเปิดเพิ่มอีก 1 อาคารพื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 7-8 ปี
สำหรับผลประกอบการปีนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราการเติบโต 7% เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมาจากการเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่และบางนาที่เติบโตมาก และคาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมีรายได้รวมประมาณ 9,000 ล้านบาท เติบโต 7% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ 95% และเดอะวอล์ค 5% ขณะที่ตามแผนงานภายใน 5 ปีจากนี้จะมีรายได้รวม 15,000 ล้านบาท และจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 20%
นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ผู้บริหาร “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” และ “เดอะ วอล์ค คอมมูนิตี้มอลล์” เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้งบลงทุนฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อปีในการลงทุนขยายเฉลี่ย 3 สาขาต่อปีรวมทั้งเดอะวอล์คและอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจและโอกาสในการสร้างรายได้ด้วย
ขณะที่ปีนี้ลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก เช่น อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 3 สาขาที่โคราช ลงทุน 650 ล้านบาท เปิดพฤษภาคมนี้, พัทยา ลงทุน 600 ล้านบาท เป็นการย้ายทำเลใหม่ และอีก 1 แห่ง 350 ล้านบาท ในต่างจังหวัด และเปิด เดอะ วอล์ค ที่นครสวรรค์ ลงทุน 800 ล้านบาท เป็นสาขาแรกในต่างจังหวัดของ เดอะ วอล์ค ซึ่งปีนี้ลงทุนมากกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้วที่ลงทุนเพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนในต่างประเทศนั้นในปีนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ที่ร่วมทุนกับทางอิออนญี่ปุ่น ตั้งบริษัท อิออน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง เบอร์ฮาร์ด โดยอินเด็กซ์ถือหุ้น 30% และอิออนถือหุ้น 70% เปิดในมาเลเซียปลายปีนี้ ซึ่งหากประสวความสำเร็จตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ครบ 10 สาขาในมาเลเซีย ส่วนที่อินโดนีเซียก็มีความสนใจยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด จากปัจจุบันมีอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ในต่างประเทศประมาณ 8 สาขาเป็นแฟรนไชส์หมด
สำหรับแผนรุกตลาดในไทยนั้น ล่าสุดก็เปิดบริการเดอะวอล์คสาขานครสวรรค์ ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของอินเด็กซ์คือการร่วมกับพันธมิตรคือ เทสโก้โลตัส ที่จะเป็นผู้บริหารพื้นที่ค้าปลีกและร้านค้าทั้งหมด ส่วนอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์อยู่ชั้น 3 เก็บค่าเช่าจากเทสโก้โลตัส ซึ่งโครงการนี้เช่าพื้นที่จากกรมธนารักษ์ 30 ปี ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงให้กับตัวเองในการลงทุน เพราะถือว่าลงทุนต่ำกว่าเดิม และได้ผู้ชำนาญด้านค้าปลีกเข้ามาบริหารพื้นที่แทน
เดอะ วอล์ค นครสวรรค์ ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย ถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ พื้นที่ประมาณ 9,597 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสามรองจากเชียงใหม่ พิษณุโลก มีจำนวนประชากร 1,073,142 คน ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 79,335 บาทต่อคนต่อปี สังเกตได้ว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วยังไม่มีไฮเปอร์มาร์เกตมากนัก แต่ 2 ปีให้หลังพบว่ามีเทสโก้โลตัส 2 สาขา และบิ๊กซี 2 สาขา อีกทั้งเป็นเมืองหน้าด่านที่จะต้องผ่านภาคเหนือ และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ด้วยแล้วนครสวรรค์จะยิ่งมีความเจริญมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตมีแผนที่จะนำรูปแบบนี้ไปใช้กับสาขาอื่นๆ ที่การแข่งขันด้านค้าปลีกค่อนข้างรุนแรง แต่จะเป็นเทสโก้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นกรณีไป โดยตั้งเป้าหมายเปิดเดอะวอล์คให้ได้ปีละ 1 สาขา ซึ่งทางกลุ่มมีพื้นที่อยู่ประมาณ 5-6 แปลงในกรุงเทพฯ และต่างจังหงัด
นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า เดอะวอล์ค 2 โครงการที่เปิดมาแล้วคือ ราชพฤกษ์ เปิดมาแล้ว 2 ปี มีลูกค้าเข้าใช้บริการเพิ่ม 20% จากปีแรกเฉลี่ย 8,000 คนต่อวัน เป็นวันละ 9,600 คน และมีการเพิ่มร้านค้าใหม่ เช่น เลมอนฟาร์ม ส่วนสาขาเกษตร-นวมินทร์ เปิดไตรมาสสามปีที่แล้ว มีลูกค้าใช้บริการ 6,000 คนต่อวัน คาดว่าจะเพิ่มอีก 20% สิ้นปีนี้ จากการเปิดเพิ่มอีก 1 อาคารพื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 7-8 ปี
สำหรับผลประกอบการปีนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราการเติบโต 7% เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมาจากการเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่และบางนาที่เติบโตมาก และคาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมีรายได้รวมประมาณ 9,000 ล้านบาท เติบโต 7% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ 95% และเดอะวอล์ค 5% ขณะที่ตามแผนงานภายใน 5 ปีจากนี้จะมีรายได้รวม 15,000 ล้านบาท และจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 20%
