แกรมมี่ก้าวผ่าน 30 ปีสู่บรอดคาสติ้งแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบ คาด 2-3 ปีธุรกิจแข็งแกร่ง มองเห็นกำไรอีกครั้ง ย้ำปีหน้าก้าวสู่ยุคดิจิตอล มั่นใจยิ่งใหญ่สุดด้วย 4 แพลตฟอร์ม ชูเพย์ทีวีหัวหอกลุย ฟากธุรกิจเพลงยังเป็นธุรกิจต้นน้ำที่สำคัญ สร้างรายได้ที่ 30% เท่าปีนี้
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีหน้าบริษัทจะก้าวสู่ปีที่ 31 โดยแผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้แกรมมี่จะก้าวสู่การเป็นบรอดคาสติ้งแพลตฟอร์มครบใน 4 แพลตฟอร์ม คือ 1. แซตเทิลไลต์ทีวี 2. เพย์ทีวี 3. ดิจิตอลทีวี และ 4. OTT หรือโอเวอร์ เดอะ ท็อป การให้บริการเสริมผ่านช่องทางอื่นๆ โดยคอนเทนต์เพลงจะเป็นต้นน้ำสนับสนุนบรอดแคสติ้ง
แผนการเข้าสู่บรอดคาสติ้งแพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วงการวางแผน โดยมองว่าใน 2-3 ปีหลังจากนี้จะยังอยู่ในช่วงการลงทุน แต่หลังจากนั้นจะเห็นความแข็งแกร่งมากขึ้น และเห็นกำไรในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ปีหน้าไทยจะก้าวสู่ยุคดิจิตอลเต็มรูปแบบ แกรมมี่ถือว่าได้เปรียบเพราะจะกลายเป็นบริษัทที่มีแพลตฟอร์มครบและใหญ่ที่สุด โดยจะให้ความสำคัญต่อเพย์ทีวีเป็นหลัก มีการจับมือกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 2,000 รายทั่วประเทศ ในการขายกล่องและขายบริการเพย์ทีวีให้
ด้านนายกริช ทอมมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจเพลง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในส่วนของธุรกิจเพลงปีนี้อาจจะมีรายได้เติบโตลดลง โดยมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพการเมือง และยอดขายฟิสิคอลที่ลดลง โดยในปีหน้าจะเน้นในเรื่องมีเดียและแผนการลงทุนด้านเพลงใหม่ๆ เช่นกัน จับมือกับเอไอเอสทำสตรีมมิ่ง หรือรุกตลาดต่างประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น และลาว เป็นต้น โดยจะยังคงเน้นช่องทางมีเดียใหม่ๆ ในการนำเสนอคอนเทนต์เพลงให้มากขึ้น เชื่อว่ารายได้จากธุรกิจเพลงจะยังคงทำได้ที่ 30% ของรายได้รวมแกรมมี่เท่าปีนี้
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีหน้าบริษัทจะก้าวสู่ปีที่ 31 โดยแผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้แกรมมี่จะก้าวสู่การเป็นบรอดคาสติ้งแพลตฟอร์มครบใน 4 แพลตฟอร์ม คือ 1. แซตเทิลไลต์ทีวี 2. เพย์ทีวี 3. ดิจิตอลทีวี และ 4. OTT หรือโอเวอร์ เดอะ ท็อป การให้บริการเสริมผ่านช่องทางอื่นๆ โดยคอนเทนต์เพลงจะเป็นต้นน้ำสนับสนุนบรอดแคสติ้ง
แผนการเข้าสู่บรอดคาสติ้งแพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วงการวางแผน โดยมองว่าใน 2-3 ปีหลังจากนี้จะยังอยู่ในช่วงการลงทุน แต่หลังจากนั้นจะเห็นความแข็งแกร่งมากขึ้น และเห็นกำไรในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ปีหน้าไทยจะก้าวสู่ยุคดิจิตอลเต็มรูปแบบ แกรมมี่ถือว่าได้เปรียบเพราะจะกลายเป็นบริษัทที่มีแพลตฟอร์มครบและใหญ่ที่สุด โดยจะให้ความสำคัญต่อเพย์ทีวีเป็นหลัก มีการจับมือกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 2,000 รายทั่วประเทศ ในการขายกล่องและขายบริการเพย์ทีวีให้
ด้านนายกริช ทอมมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจเพลง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในส่วนของธุรกิจเพลงปีนี้อาจจะมีรายได้เติบโตลดลง โดยมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพการเมือง และยอดขายฟิสิคอลที่ลดลง โดยในปีหน้าจะเน้นในเรื่องมีเดียและแผนการลงทุนด้านเพลงใหม่ๆ เช่นกัน จับมือกับเอไอเอสทำสตรีมมิ่ง หรือรุกตลาดต่างประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น และลาว เป็นต้น โดยจะยังคงเน้นช่องทางมีเดียใหม่ๆ ในการนำเสนอคอนเทนต์เพลงให้มากขึ้น เชื่อว่ารายได้จากธุรกิจเพลงจะยังคงทำได้ที่ 30% ของรายได้รวมแกรมมี่เท่าปีนี้