กรุงศรี SME ผนึก 4 พันธมิตรรายใหญ่ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผลักดันผู้ประกอบการ SME ไทย รุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ ด้วยกิจกรรม “จับคู่ธุรกิจ” (Business Matching) เพิ่มโอกาสการขยายตลาด เปิดโอกาสต่อยอดธุรกิจ ในระยะแรกคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยได้มากกว่าร้อยล้านบาท และในระยะยาวมุ่งให้เกิดการ ต่อยอดและทำให้ธุรกิจเกิดการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นายสยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากความผันผวนของเศรษฐกิจยุโรป และอเมริกา รวมถึงการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และญี่ปุ่น ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกก็คือผู้ประกอบการ SME กรุงศรีเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SME เราจึงได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SME เพราะการสร้างเครือข่ายทางการค้าที่แข็งแกร่ง การมีคู่ค้าทางธุรกิจที่ดีจะเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ SME ไทย”
กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ “ลับคมธุรกิจ ต่อยอด SME” ที่มุ่งแสวงหาโอกาสและสร้างความเติบโตให้กับผู้ประกอบการ ด้วยการขยายคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ โดยในครั้งนี้กรุงศรีได้ผนึกกำลังกับ 4 พันธมิตรรายใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยลูกค้ากรุงศรี SME ขยายตลาดในประเทศ และเพิ่มโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งพันธมิตรทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย
1.เอ็นโซโก้ ผู้นำเว็บไซต์ธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งในประเทศไทย ในเครือข่ายธุรกิจของลีฟวิ่งโซเชียล บริษัทออนไลน์ชั้นนำของโลก ที่รวบรวมประสบการณ์ไลฟ์สไตล์สุดคุ้มจากผลิตภัณฑ์และบริการชั้นนำทั้ง กิน เที่ยว ช้อป ทั่วประเทศมาจำหน่ายในราคาพิเศษ
2.ล็อกซเล่ย์ บริษัทชั้นนำด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการให้บริการสินค้าทางด้านอุตสาหกรรม และสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันได้ขยายธุรกิจไปสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างธุรกิจในประเทศจีน และกลุ่มประเทศ CLMV อันได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม
3.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยฝ่ายส่งเสริมการค้าและการลงทุน หน่วยงานจับคู่ธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสในด้านการค้าและการลงทุนแก่ผู้ประกอบการไทยเพื่อสร้างมูลค่าในสินค้าและบริการ และเชื่อมตลาดขนาดกลางของโลกสู่ตลาดไทย
4.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน หน่วยงานที่มุ่งเน้นการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนากระบวนการผลิตและเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสร้างและพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการที่ดีและยั่งยืน
ความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในตลาดการค้าทั้งในและต่างประเทศของพันธมิตรทั้ง 4 รายจะเสริมโอกาสและการเติบโตของผู้ประกอบการ SME ในหลากหลายสาขาธุรกิจได้เป็นอย่างดี อาทิ เอ็นโซโก้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือลีฟวิ่งโซเชียล ที่ปัจจุบันเป็นเว็บไซต์ดีลอันดับ 1 ของไทย จะช่วยขยายตลาดในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ให้ผู้ประกอบการ SME ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร รีสอร์ทและสปา และยังช่วยเป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของ SME ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น
ขณะที่ล็อกซเล่ย์ ในฐานะบริษัทชั้นนำด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านตัวแทนจัดจำหน่ายและมีเครือข่ายร้านค้าในต่างประเทศ จะช่วยเจาะตลาดการค้าการส่งออก ให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างในประเทศจีน รวมทั้งตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีโอกาสในการเติบโตสูง
นอกจากนี้พันธมิตรภาครัฐ อย่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก็เป็นอีกความร่วมมือหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้พบคู่ค้าใหม่ๆ ที่ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติกประเภทต่างๆ ที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มคุณภาพลดต้นทุนการผลิต และในส่วนความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนั้น จะเป็นการประสานงานเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายตลาดสู่อาเซียน
นายสยาม กล่าวว่า “กิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เบื้องต้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยมากกว่าร้อยล้านบาท แต่ผลในระยะยาวจะทำให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยเท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างโอกาสให้ภาคธุรกิจไทย เป็นศูนย์กลางทางการค้าในตลาดอาเซียนอีกด้วย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง”
“การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) จะเป็นกลยุทธ์หลักของกรุงศรี SME ที่จะนำมาใช้ในไตรมาส 3 เพื่อผลักดันให้เราบรรลุเป้าหมายของการเป็น 1 ใน 3 ธนาคารที่ผู้ประกอบการ SME เลือกใช้มากที่สุด (Top Three SME Banks) ในอีก 3 ปีข้างหน้า” นายสยามกล่าว
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจการค้า (Business Matching) ของกรุงศรีสามารถติดต่อได้ที่ 02-208-2900 หรือ www.krungsri.com/SME
Rush to Korea Campaign รีบไปเกาหลีมีรางวัลรออยู่
องค์การส่งเสริมการท่องเกาหลี จัดแคมเปญ “รีบไปเกาหลี มีรางวัลรออยู่” เพียงซื้อแพคเกจทัวร์เกาหลีจาก 16 บริษัททัวร์ที่ระบุ หรือ ซื้อ ตั๋วเครื่องบิน เดินทาง ไปเกาหลีจาก 7 สายการบินที่ร่วมรายการ (ในกรณีเดินทางเอง) และต้องเดินทางไปเยือนเกาหลีระหว่าง 15 สิงหาคม – 15 ธันวาคม 2556 สามารถเข้ามาลงทะเบียนออนไลน์ ผ่าน เวบไซต์ www.kto.or.th ลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และ เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้.-30 พ.ย.2556
“ECOPIA มาตรฐานใหม่ เพื่อโลก เพื่อเรา”
เมื่อวันที่ 5 กค 2556 ที่ผ่านมา บริดจสโตนได้เปิดตัวยางเพื่อสิ่งแวดล้อมถึง 2 รุ่นด้วยกัน นั่นคือ ยาง ECOPIA EP200 สำหรับยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหรือรถเก๋ง และ ECOPIA EP850 ยางสำหรับรถเอนกประสงค์ SUV
โดยยาง ECOPIA EP200 และ EP850 มีคุณสมบัติที่เด่นชัดคือ ให้การประหยัดน้ำมันมากกว่า ให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า และ ให้ความปลอดภัยในการขับขี่ยิ่งกว่า และที่สำคัญคือ ยางทั้งสองตัวนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการสิ้นเปลืองน้ำมันที่น้อยลงเมื่อใช้ยาง ECOPIA อีกด้วย
ยาง ECOPIA ทั้ง 2 ตัวนี้ นอกจากจะเป็นยางช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันแล้ว ยังเป็นยางที่ทางบริดจสโตน พัฒนาสมรรถนะและประสิทธิภาพครบทุกด้าน ไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการควบคุมบนพื้นถนนแห้งและเปียก การเบรคบนถนนแห้งและถนนปียก รวมทั้งความนุ่มสบายในการขับขี่ และอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นครบทุกด้าน เพื่อให้ได้สมรรถนะที่เหนือกว่า เพื่อผู้บริโภค และเพื่อโลกของเรา ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่า บริดจสโตน รักและห่วงใยทั้ง ผู้บริโภคและโลกใบนี้ด้วย
ผู้สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ตัวแทนจำหน่าย หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bridgestone.co.th
ศก.ไทยโตชะลอ กดดอกเบี้ยทรงตัว บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลแนะกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากกว่าที่ตลาดคาด เห็นได้จากภาคการบริโภคที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 10 และการปรับลดลงของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน โดยการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุน และการอนุมัติพื้นที่ก่อสร้างใหม่ ๆ ที่เริ่มเติบโตน้อยลง ภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่ปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์สูงน่าจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และทำให้ยอดขายรถยนต์ รวมถึงอสังหาฯ ไม่โตมากเหมือนในอดีต 1 – 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยโดยรวมน่าจะยังเติบโตได้ปานกลาง ไม่สูงมากเหมือนปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ต่ำเพียงประมาณร้อยละ 2 ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อของไทย โดยบลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงได้อีกเล็กน้อยในปีข้างหน้า ซึ่งภาวะตลาดลักษณะนี้เหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้อายุประมาณ 2 – 3 ปีน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่อายุน้อยกว่า 1 ปี เนื่องจากได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าในกรณีที่ดอกเบี้ยทรงตัว และอาจมีกำไรจากการลงทุนหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง
นายอุดมการ อุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เพิ่มเติมว่าบริษัทจัดการมีความเชื่อว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางในระยะเวลาการลงทุนประมาณ 1 ปีขึ้นไป เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวซึ่งดีกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทจัดการเลือกที่จะไม่ออกกองทุนตราสารหนี้ประเภท Term Fund แต่จะให้คำแนะนำนักลงทุน ลงทุนใน “กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี- พรินซิเพิล คอร์ ฟิกซ์ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iFIXED)” ซึ่งเป็นกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะกลางอายุเฉลี่ย 2 ปี จุดเด่นของ กองทุน CIMB-PRINCIPAL iFIXED คือ มีการกระจายการลงทุน (Diversification) มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ประเภท Term Fund ซึ่งมักจะลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 4-5 บริษัท และผู้ลงทุนยังมีสภาพคล่องสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน ซึ่งกอง Bond Fund ลักษณะนี้ในต่างประเทศเป็นที่นิยมแนะนำให้ลูกค้าถือเป็นสินทรัพย์หลักในพอร์ตการลงทุน ( Core Investment) โดยประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดกองทุนในประเทศอเมริกาก็เป็นกองทุนประเภทนี้
ปัจจุบันกองทุน CIMB-PRINCIPAL iFIXED เปิดให้ลงทุนในลักษณะแบบ Multi Share Class 2 ชนิด คือ 1. Class A -Accumulation เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยหรือบริษัทที่ต้องการสะสมมูลค่าจากดอกเบี้ยและ Capital Gain 2. Class R -Auto Redemption เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการแบ่งรายได้แบบสม่ำเสมอผ่านการ Auto Redemption โดยมูลค่ากองทุนรวมทุก share class อยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท
กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท และผู้ลงทุนสามารถซื้อ – ขายได้ทุกวันและเวลาทำการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล 0 2686 9595 หรือ www.cimb-principal.com หรือ CIMB Thai Care Center 0 2626 7777 กด 0
***การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
อ.ต.ก.ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตรจัดงานรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคสับปะรดผลสด
นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) แถลงว่า ระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2556 อ.ต.ก. ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร จัดงานรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคสับปะรดผลสด ณ ตลาด อ.ต.ก. ย่านพหลโยธินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความนิยมการบริโภคสับปะรดสด ซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลอดสารพิษและมีคุณประโยชน์สูง ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดสับปะรดสดทั้งในและต่างประเทศให้กับเกษตรกร และเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสับปะรดในรูปแบบของผลสดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและยกระดับราคาสับปะรดให้สูงขึ้น
ผู้อำนวยการ อ.ต.ก. กล่าวว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การออกร้านจำหน่ายสับปะรดผลสดพันธุ์ต่างๆ จากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงของไทย 12 จังหวัด เช่น พันธุ์ปัตตาเวีย จ.เพชรบุรี / จ.ระยอง, พันธุ์สวนผึ้ง จ.ราชบุรี, พันธุ์ศรีราชา จ.ชลบุรี, พันธุ์ภูแล/นางแล จ.เชียงราย, พันธุ์ห้วยมุ่น จ.อุตรดิตถ์ เป็นต้น และการ ออกร้านนิทรรศการของภาครัฐและเอกชน แสดงอุปกรณ์การปอกสับปะรดแบบทันสมัย การจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปสับปะรด เช่น สับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด สับปะรดกวนและอบแห้ง นอกจากนั้นยังมีการเปิดโอกาสให้ผู้มาร่วมงานได้ชิมสับปะรดผลสดพันธุ์ต่างๆ และน้ำสับปะรด เพื่อแนะนำให้ผู้มาร่วมงานได้รู้จักรูปลักษณ์ และรสชาติของแต่ละพันธุ์ของไทย และที่เป็นไฮไลท์คือ การแข่งขันการกินสับปะรดผลสด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ภายในงาน
ผู้อำนวยการ อ.ต.ก. กล่าวต่อว่า สับปะรดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย บนพื้นที่ 1 ล้านไร่ ผลผลิตปีละประมาณ 6 แสนไร่ ส่วนใหญ่ปลูกพันธุ์ปัตตาเวีย เพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ส่วนพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกใน 20 จังหวัด สามารถผลิตได้ 2 ล้านตัน ส่วนใหญ่จะส่งเข้าโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อการส่งออก มูลค่าปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 49 แต่มีผลผลิตเพียงร้อยละ 26 ที่นำมาใช้เพื่อบริโภคภายในประเทศ และส่งออกผลสดเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกษตรกรต้องพึ่งพาโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก เมื่อผลผลิตล้นตลาดทำให้ราคาสับปะรดเหลือเพียง กก.ละ 2-3 บาท ซึ่งต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3.50-4.60 บาท ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนอยู่เสมอ
ผู้อำนวยการ อ.ต.ก. กล่าวในตอนท้ายว่า การจัดงานครั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ประชาชนเกิดความนิยมบริโภคสับปะรดผลสดมากยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพ เกิดการขยายตัวของช่องทางการตลาดสับปะรดทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และเกษตรกรมีการผลิตสับปะรดผลสดมากขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าสับปะรดให้สูงขึ้น