ระบุ “เศรษฐกิจตก-อัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำ” ไม่กระทบตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก เพราะครอบครัวยุคใหม่มีกำลังซื้อสูงและเลือกสรรสิ่งที่ดีให้ลูก เผยกลยุทธ์การตลาดใช้เซเลบชื่อดังแนะนำและบอกต่อคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ ทำให้ครองส่วนแบ่งจุกนมและขวดนมกลุ่มพรีเมียม 50% มั่นใจปี 56 ยอดขายโตเท่ามูลค่าตลาดประมาณ 15-20%
นายชูเกียรติ โตกมลธรรม ผู้อำนวยการธุรกิจอาวุโส ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กภายใต้แบรนด์ “ฟิลิปส์ เอเวนท์” (PHILIPS AVENT) ใน 4 หมวดสินค้าหลัก คือ จุกนม ขวดนม เครื่องปั๊มน้ำนมแบบมือและไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น จาน ชาม เครื่องทำความสะอาดจุกนมและขวดนม เป็นต้น โดยล่าสุดบริษัทได้จัดงาน “For The Best Start In Life” เพื่อเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในหมวดของเครื่องปั๊มน้ำนมและขวดนมรุ่นเนเชอรัล (Natural)
ผลิตภัณฑ์ใหม่รุ่นเนเชอรัลถือเป็นการปรับดีไซน์เป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปีของ “ฟิลิปส์ เอเวนท์” เพื่อให้มีรูปทรงและคุณสมบัติในการปั๊มน้ำนมและให้นมเด็กแรกเกิดได้ใกล้เคียงกับการให้นมจากอกแม่ โดยในส่วนของขวดนมมี 2 ชนิด คือขวด PP ชนิดปราศจากสาร BPA และขวดแก้วคุณภาพสูงที่ทนทานต่อความร้อนในการอุ่นและแรงกระแทกซึ่งถูกออกแบบให้สามารถรองรับแรงกระแทกจากความสูง 2 เมตร ทำให้มีคุณสมบัติเด่นคือตกไม่แตก
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้คาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ “ฟิลิปส์ เอเวนท์” เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกับอัตราการเติบโตของตลาดคือประมาณ 15-20% โดยที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้หลักจากจุกนม ขวดนม และเครื่องปั๊มน้ำนมประมาณ 70-80% โดยในส่วนของ “ฟิลิปส์ เอเวนท์” ถือเป็นผู้นำตลาดระดับพรีเมียมและกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยสัดส่วน 50% จากมูลค่าตลาด 100 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าตลาดรวมมีประมาณ 500 ล้านบาท
ด้วยเหตุที่บริษัทเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงและเหล่าเซเลบริตีเป็นหลัก จึงทำให้มีการทำตลาดโดยตรงในการแนะนำผลิตภัณฑ์ให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและได้รับผลตอบรับที่ดี จนทำให้ปัจจุบันมี “เอเวนท์ แฟมิลี” (AVENT Family) ชื่อดังหลายรายเป็นผู้แนะนำสินค้าและบอกต่อถึงคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ เช่น ม.ล.ตรีนุช สิริวัฒนภักดี, พอลลีน ล่ำซำ, หนิง-ปณิตา ธรรมวัฒนะ, บี-ปิติภัทร สารสิน, เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ, นิหน่า-สฐิตา ปัญญายงค์, เป้ย-ปานวาด เหมมณี, นานา ไรบีนา เป็นต้น
ส่วนการสร้างความรับรู้แก่ผู้บริโภคและช่องทางจัดจำหน่ายด้านอื่นๆ ยังคงเป็นการเน้นให้ข้อมูลแก่ลูกค้า ณ จุดขายผ่านพนักงาน รวมทั้งการร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในการแจกตัวอย่างสินค้า (Sampling) ให้คุณแม่ทดลองใช้ นอกจากนั้นยังมีการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ทั้งในส่วนของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และเบบี้ชอปทั่วไป ขณะเดียวกันยังมีการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ โดยใช้งบประมาณการตลาดในส่วนของอะโบฟเดอะไลน์ประมาณ 4-5 ล้านบาท ทั้งยังมีการจัดงบประมาณเฉพาะสำหรับการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ อีกด้วย
“แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศจะค่อนข้างซบเซา รวมถึงอัตราการเกิดของเด็กทารกในประเทศไทยเริ่มมีสัดส่วนที่ลดน้อยลง โดยล่าสุดมีเพียงร้อยละ 1.2 แต่ก็ไม่ถือเป็นปัจจัยด้านลบต่อตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก เนื่องจากพฤติกรรมของครอบครัวรุ่นใหม่มักจะเลือกสรรสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อลูกมากกว่าการคำนึงเรื่องราคา ด้วยเหตุนี้การแข่งขันในตลาดจึงจำเป็นต้องเน้นเรื่องแบรนดิ้งและการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคเป็นสำคัญ แต่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือเรื่องอัตราภาษี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังมีการเรียกเก็บถึง 20% ทำให้เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างมากโดยเฉพาะสิงคโปร์ และมาเลเซีย”