เวทีประชุมนานาชาติด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เผยผลวิจัยท่องเที่ยวแบบได้ลงมือทำกิจกรรมช่วยนักท่องเที่ยวจดจำได้ถึง 90% และจัดเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวกำลังมาแรง พร้อมยกไทยให้ประเทศสมาชิกใช้เป็นกรณีศึกษา เหตุเพราะมีความจริงจังกับการพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ผ่านหน่วยงาน อพท. ขณะที่ไกด์เมืองน้ำหอมติงว่าไทยยังยึดติดกับรูปแบบโปรแกรมท่องเที่ยวที่มีตารางเวลาตายตัว
พันเอก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมนานาชาติด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การสร้างสรรค์ : ทัศนคติใหม่ของนักท่องเที่ยว” ได้เปิดเผยตัวเลขจากการวิจัย โดยพบว่าการฟัง-ทำให้คนร้อยละ 10 จำได้ การได้พูด-ทำให้คนร้อยละ 30 จำได้ การเห็น-ทำให้คนร้อยละ 50 จำได้ และการลงมือทำ-ทำให้คนร้อยละ90 จำได้ จากตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับรูปแบบการจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ลงมือปฏิบัติเพื่อได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเองในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่าการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดการทำซ้ำ ซึ่งจะเป็นผลดีที่ช่วยให้เกิดการจดจำ
ที่ประชุมยังได้กล่าวถึงรูปแบบการท่องเที่ยวในอนาคตว่า ปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง แบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การท่องเที่ยวเฉพาะเมืองใหญ่ (Grand Tour) เป็นการท่องเที่ยวแบบผิวเผิน เน้นการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับสถานทีต่างๆ ของเมือง 2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) คือนักท่องเที่ยวเริ่มให้ความสนใจและเข้าใจความเป็นท้องถิ่นมากกว่าการสนใจแค่สิ่งปลูกสร้าง 3. การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) เข้าถึงความเป็นตัวตนความเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่น ใช้เวลาในการเรียนรู้นานขึ้น และ 4. การท่องเที่ยวเชิงสัมพันธ์ (Relationship Tourism) เป็นการท่องเที่ยวที่ไม่รู้สึกว่าไปเที่ยวแต่เหมือนไปเยี่ยมเยือนบ้านญาติ และใช้เวลาอยู่นานขึ้น
อย่างไรก็ตาม นางแคโรไลน์ โคเรต (Caroline Couret) ผู้จัดการเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเคยเดินทางมาร่วมเป็นผู้บรรยายในเวทีเสวนา International Creative Tourism Network Thailand Forum โดยเธอได้หยิบยกเรื่องครีเอทีฟทัวริสซึ่ม ไทยแลนด์ พร้อมแนะนำว่า อพท.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ พร้อมเสนอให้สมาชิกในที่ประชุมซึ่งมีกว่า 260 คนจากหลายประเทศทั่วโลกใช้เป็นกรณีศึกษา โดยเน้นว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความจริงจังกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์มาก และยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรเชิงวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ที่ประชุมได้รู้จักและเห็นการทำงานของ อพท.และประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์สู่ระดับนานาชาติ
***ไกด์เมืองน้ำหอมติงไทยยังยึดติดโปรแกรมทัวร์***
ในการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมประชุม ซึ่ง อพท.ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตัวแทนจากสมาคมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและมัคคุเทศก์อิสระของฝรั่งเศส โดยเขากล่าวถึงประเทศไทยว่า การท่องเที่ยวของไทยยังเป็นรูปแบบโปรแกรมที่มีตารางเวลาตายตัว ปรับเปลี่ยนไม่ได้ และมัคคุเทศก์ไทยก็มักเน้นที่จะทำธุรกิจมากคือจะพาไปเที่ยวที่เดิมๆ ซื้อของร้านเดิมๆ จึงแนะนำว่าประเทศไทยควรมีการพัฒนาการนำเที่ยวแบบใหม่ๆ พร้อมยกตัวอย่างในกรุงปารีสซึ่งปัจจุบันมีสมาคมมัคคุเทศก์อิสระซึ่งจะเน้นการนำเที่ยวแบบอิสระ นำนักท่องเที่ยวไปสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น ตรอก ซอกซอยที่มีความน่าในใจ แต่สถานที่ดังกล่าวจะไม่ได้บรรจุอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบปกติ
พันเอก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมนานาชาติด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การสร้างสรรค์ : ทัศนคติใหม่ของนักท่องเที่ยว” ได้เปิดเผยตัวเลขจากการวิจัย โดยพบว่าการฟัง-ทำให้คนร้อยละ 10 จำได้ การได้พูด-ทำให้คนร้อยละ 30 จำได้ การเห็น-ทำให้คนร้อยละ 50 จำได้ และการลงมือทำ-ทำให้คนร้อยละ90 จำได้ จากตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับรูปแบบการจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ลงมือปฏิบัติเพื่อได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเองในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่าการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดการทำซ้ำ ซึ่งจะเป็นผลดีที่ช่วยให้เกิดการจดจำ
ที่ประชุมยังได้กล่าวถึงรูปแบบการท่องเที่ยวในอนาคตว่า ปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง แบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การท่องเที่ยวเฉพาะเมืองใหญ่ (Grand Tour) เป็นการท่องเที่ยวแบบผิวเผิน เน้นการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับสถานทีต่างๆ ของเมือง 2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) คือนักท่องเที่ยวเริ่มให้ความสนใจและเข้าใจความเป็นท้องถิ่นมากกว่าการสนใจแค่สิ่งปลูกสร้าง 3. การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) เข้าถึงความเป็นตัวตนความเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่น ใช้เวลาในการเรียนรู้นานขึ้น และ 4. การท่องเที่ยวเชิงสัมพันธ์ (Relationship Tourism) เป็นการท่องเที่ยวที่ไม่รู้สึกว่าไปเที่ยวแต่เหมือนไปเยี่ยมเยือนบ้านญาติ และใช้เวลาอยู่นานขึ้น
อย่างไรก็ตาม นางแคโรไลน์ โคเรต (Caroline Couret) ผู้จัดการเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเคยเดินทางมาร่วมเป็นผู้บรรยายในเวทีเสวนา International Creative Tourism Network Thailand Forum โดยเธอได้หยิบยกเรื่องครีเอทีฟทัวริสซึ่ม ไทยแลนด์ พร้อมแนะนำว่า อพท.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ พร้อมเสนอให้สมาชิกในที่ประชุมซึ่งมีกว่า 260 คนจากหลายประเทศทั่วโลกใช้เป็นกรณีศึกษา โดยเน้นว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความจริงจังกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์มาก และยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรเชิงวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ที่ประชุมได้รู้จักและเห็นการทำงานของ อพท.และประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์สู่ระดับนานาชาติ
***ไกด์เมืองน้ำหอมติงไทยยังยึดติดโปรแกรมทัวร์***
ในการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมประชุม ซึ่ง อพท.ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตัวแทนจากสมาคมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและมัคคุเทศก์อิสระของฝรั่งเศส โดยเขากล่าวถึงประเทศไทยว่า การท่องเที่ยวของไทยยังเป็นรูปแบบโปรแกรมที่มีตารางเวลาตายตัว ปรับเปลี่ยนไม่ได้ และมัคคุเทศก์ไทยก็มักเน้นที่จะทำธุรกิจมากคือจะพาไปเที่ยวที่เดิมๆ ซื้อของร้านเดิมๆ จึงแนะนำว่าประเทศไทยควรมีการพัฒนาการนำเที่ยวแบบใหม่ๆ พร้อมยกตัวอย่างในกรุงปารีสซึ่งปัจจุบันมีสมาคมมัคคุเทศก์อิสระซึ่งจะเน้นการนำเที่ยวแบบอิสระ นำนักท่องเที่ยวไปสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น ตรอก ซอกซอยที่มีความน่าในใจ แต่สถานที่ดังกล่าวจะไม่ได้บรรจุอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบปกติ