เอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมองนโยบายสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลยังขาดโครงการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ขณะที่ภาคโรงแรมชี้ ปรับขึ้นราคาห้องพัก 15-18% จึงบรรลุเป้าหมาย แต่ในความเป็นจริงขยับได้แค่ 8-10%
วันนี้ (4 ก.ย.) ในงานแถลงข่าวความเห็นภาคเอกชนต่อแนวทางการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 2 ล้านล้านบาทในปี 58 นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ยังไม่เห็นความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในเรื่องของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อดึงคนไทยให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น และยังไม่เห็นความชัดเจนในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวเพื่อดันรายได้ท่องเที่ยวให้ได้ตามเป้าหมาย ที่ผ่านมามีเพียงโครงการที่ภาครัฐทำเพื่อภาคอุตสาหกรรมอื่น เช่น บัตรเครดิตเกษตรกร บัตรเครดิตสำหรับแท็กซี่ และปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท
“โครงการรถยนต์คันแรกทำให้มียอดการออกรถใหม่เพิ่มขึ้น อาจมีผลให้คนไทยขับรถท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้ๆ มากขึ้น แต่ยอดการเดินทางท่องเที่ยวผ่านทัวร์ก็จะลดลงต่อเนื่องจากปัจจุบันคนไทยเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว 15% อีก 85% เที่ยวเอง แต่บริษัททัวร์ก็อาจได้อานิสงส์จากบริษัทส่งออกหันมาให้รางวัลกับพนักงานบริษัทด้วยการจัดโปรแกรมเที่ยวในประเทศแทนไปต่างประเทศ เพราะยอดส่งออกได้รับผลกระทบเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว”
ราคาห้องพักขยับขึ้นแค่ 8-10%
ทางด้าน น.ส.ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทยด้านการตลาด กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวคิดเป็น 30% ของรายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งหมด โดยปี 2554 รายได้จากห้องพักอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท ดังนั้น หากรัฐต้องการรายได้ 2 ล้านล้านบาท ภาคโรงแรมจะต้องมีรายได้ 600,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากปัจจุบัน
หมายความว่าโรงแรมต้องปรับขึ้นราคาขายห้องพัก 15-18% จากราคาปัจจุบันหลังจากไม่ได้ปรับขึ้นราคามา 3-4 ปีต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกภาพรวมธุรกิจโรงแรมปรับขึ้นราคาบ้างแล้วเฉลี่ย 8-10% และยังต้องขยายวันพักให้เพิ่มจากขณะนี้ที่มีวันพักเฉลี่ย 3-4 วัน โดยใช้วิธีเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปยังกลุ่มเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น มากรุงเทพฯ แล้วต้องเดินทางไปเที่ยวจังหวัดสมุทรสงครามด้วย เป็นต้น
ยกมาตรฐานเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
นายธเนศ วรศรัณย์ รองประธานด้านพัฒนา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมาไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น กว่า 100% แต่รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อวันของนักท่องเที่ยวกลับเพิ่มเพียง 6% เท่านั้น หรือเฉลี่ยแค่ปีละ 0.5% ซึ่งหากต้องสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ในปี 2558 จะต้องเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8% ส่วนรายได้ต้องเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี วิธีที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมาย คือ ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าทั้งเก่าและใหม่ โดยนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อยกระดับสินค้าและบริการ และการปรับขึ้นราคา
นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธาน สทท. กล่าวว่า เอกชนมั่นใจว่าจะดันรายได้ท่องเที่ยวถึง 2 ล้านล้านบาทได้ เพราะภาครัฐมีแนวทางการดำเนินนโยบายชัดเจนขึ้น โดยเรียกเอกชนไปหารือร่วมกันวางแผนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมาย 3 ปีสำหรับผลักดันรายได้ จากเดิมที่ไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้เลย ซึ่งวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมาย และไม่ให้ตลาดตกใจหากต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ คือต้องเพิ่มทางเลือกสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาด เป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว ส่วนภาคเอกชนก็ควรปรับตัวยกระดับมาตรฐาน
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทนำเที่ยวที่ทำตลาดต่างประเทศจะเน้นขยายไปเจาะตลาดใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาใช้บริการ เพราะหลายประเทศในยุโรปเริ่มปรับตัวจากการจองผ่านบริษัทนำเที่ยวเป็นการจองโรงแรมที่พักและตั๋วเครื่องบินผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเดินทางด้วยตัวเอง
นางพรทิพย์ หิรัญเกตุ รองประธาน สทท. กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะบรรลุผล สายการบินแห่งชาติต้องมีเที่ยวบินสนับสนุนด้วย ขณะเดียวกันต้องรักษาตลาดเดิมที่ชอบเดินทางมาเที่ยวไทยซ้ำ โดยไทยจะต้องสร้างจุดแข็งด้วยการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้ดีขึ้น ยกระดับการบริการเพื่อจะได้ยกระดับราคาสินค้า และบริการขึ้นมาได้
วันนี้ (4 ก.ย.) ในงานแถลงข่าวความเห็นภาคเอกชนต่อแนวทางการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 2 ล้านล้านบาทในปี 58 นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ยังไม่เห็นความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในเรื่องของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อดึงคนไทยให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น และยังไม่เห็นความชัดเจนในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวเพื่อดันรายได้ท่องเที่ยวให้ได้ตามเป้าหมาย ที่ผ่านมามีเพียงโครงการที่ภาครัฐทำเพื่อภาคอุตสาหกรรมอื่น เช่น บัตรเครดิตเกษตรกร บัตรเครดิตสำหรับแท็กซี่ และปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท
“โครงการรถยนต์คันแรกทำให้มียอดการออกรถใหม่เพิ่มขึ้น อาจมีผลให้คนไทยขับรถท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้ๆ มากขึ้น แต่ยอดการเดินทางท่องเที่ยวผ่านทัวร์ก็จะลดลงต่อเนื่องจากปัจจุบันคนไทยเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว 15% อีก 85% เที่ยวเอง แต่บริษัททัวร์ก็อาจได้อานิสงส์จากบริษัทส่งออกหันมาให้รางวัลกับพนักงานบริษัทด้วยการจัดโปรแกรมเที่ยวในประเทศแทนไปต่างประเทศ เพราะยอดส่งออกได้รับผลกระทบเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว”
ราคาห้องพักขยับขึ้นแค่ 8-10%
ทางด้าน น.ส.ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทยด้านการตลาด กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวคิดเป็น 30% ของรายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งหมด โดยปี 2554 รายได้จากห้องพักอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท ดังนั้น หากรัฐต้องการรายได้ 2 ล้านล้านบาท ภาคโรงแรมจะต้องมีรายได้ 600,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากปัจจุบัน
หมายความว่าโรงแรมต้องปรับขึ้นราคาขายห้องพัก 15-18% จากราคาปัจจุบันหลังจากไม่ได้ปรับขึ้นราคามา 3-4 ปีต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกภาพรวมธุรกิจโรงแรมปรับขึ้นราคาบ้างแล้วเฉลี่ย 8-10% และยังต้องขยายวันพักให้เพิ่มจากขณะนี้ที่มีวันพักเฉลี่ย 3-4 วัน โดยใช้วิธีเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปยังกลุ่มเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น มากรุงเทพฯ แล้วต้องเดินทางไปเที่ยวจังหวัดสมุทรสงครามด้วย เป็นต้น
ยกมาตรฐานเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
นายธเนศ วรศรัณย์ รองประธานด้านพัฒนา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมาไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น กว่า 100% แต่รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อวันของนักท่องเที่ยวกลับเพิ่มเพียง 6% เท่านั้น หรือเฉลี่ยแค่ปีละ 0.5% ซึ่งหากต้องสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ในปี 2558 จะต้องเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8% ส่วนรายได้ต้องเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี วิธีที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมาย คือ ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าทั้งเก่าและใหม่ โดยนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อยกระดับสินค้าและบริการ และการปรับขึ้นราคา
นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธาน สทท. กล่าวว่า เอกชนมั่นใจว่าจะดันรายได้ท่องเที่ยวถึง 2 ล้านล้านบาทได้ เพราะภาครัฐมีแนวทางการดำเนินนโยบายชัดเจนขึ้น โดยเรียกเอกชนไปหารือร่วมกันวางแผนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมาย 3 ปีสำหรับผลักดันรายได้ จากเดิมที่ไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้เลย ซึ่งวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมาย และไม่ให้ตลาดตกใจหากต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ คือต้องเพิ่มทางเลือกสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาด เป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว ส่วนภาคเอกชนก็ควรปรับตัวยกระดับมาตรฐาน
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทนำเที่ยวที่ทำตลาดต่างประเทศจะเน้นขยายไปเจาะตลาดใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาใช้บริการ เพราะหลายประเทศในยุโรปเริ่มปรับตัวจากการจองผ่านบริษัทนำเที่ยวเป็นการจองโรงแรมที่พักและตั๋วเครื่องบินผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเดินทางด้วยตัวเอง
นางพรทิพย์ หิรัญเกตุ รองประธาน สทท. กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะบรรลุผล สายการบินแห่งชาติต้องมีเที่ยวบินสนับสนุนด้วย ขณะเดียวกันต้องรักษาตลาดเดิมที่ชอบเดินทางมาเที่ยวไทยซ้ำ โดยไทยจะต้องสร้างจุดแข็งด้วยการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้ดีขึ้น ยกระดับการบริการเพื่อจะได้ยกระดับราคาสินค้า และบริการขึ้นมาได้