“บุญทรง” ยันเสนอ กขช.อนุมัติเปิดรับจำนำข้าวต่อ ใช้เงิน 2.6 แสนล้านบาท เผยรัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เหตุจะเริ่มมีเงินจากการระบายข้าวเข้ามาหมุนเวียน ซัดกลับ ปชป. การรับจำนำข้าวทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม และดันราคาข้าวเพิ่มขึ้นจริง ปัดเจ๊ง 3 แสนล้าน เหตุมีข้าวอยู่ ขายก่อนถึงจะรู้ว่าขาดทุนเท่าไร ระบุไม่เสียเปล่าเหมือนโครงการประกันแน่
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงฯ จะขอให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ กขช.อนุมัติวงเงิน 2.6 แสนล้านบาท ที่จะใช้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2555/56 รอบใหม่ พร้อมกับหลักเกณฑ์ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำให้รับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ระยะยาว คือ เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2555 ถึง 30 ก.ย. 2556 โดยจำกัดสิทธิ์ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกมาเข้าโครงการได้ 2 รอบ หลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์ถัดไป
ทั้งนี้ วงเงินที่จะใช้รับจำนำเป็นเงินกู้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการรับจำนำ เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการะบายข้าว ซึ่งจะได้เงินมาส่งคืนเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการรับจำนำข้าวต่อไป
ส่วนการระบายข้าวคาดว่าจะเริ่มเปิดให้มีการประมูลได้ในสัปดาห์หน้า จะระบายครั้งละไม่มาก อาจจะ 2-3 แสนตัน เพื่อไม่ให้กระทบกับราคาข้าวในตลาด โดยจะเปิดประมูลให้กับผู้สนใจทั้งในประเทศและส่งออก
นายบุญทรงกล่าวว่า กรณีที่มีการอภิปรายเรื่องข้าวในการชี้แจงงบประมาณของรัฐบาลในสภาฯ ของพรรคฝ่ายค้าน ยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ทำให้ระบบการค้าข้าวของไทยถูกทำลาย แต่กลับยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรกว่า 2 ล้านครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาจำนำข้าว และยังยกระดับราคาสินค้าข้าวในประเทศ โดยข้าวเปลือกเฉลี่ย 6 เดือนอยู่ที่ 1.1 หมื่นบาท/ตัน สูงกว่าราคาข้าวเปลือกปีก่อน 8,000-9,000 บาท/ตัน ขณะที่ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ย 6 เดือนอยู่ที่ 678 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ กรณีที่มีการโจมตีว่าการใช้นโยบายรับจำนำข้าวทุกเม็ด ทำให้เกิดการสวมสิทธิ์ข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าโครงการรับจำนำมากกว่า 3 ล้านตัน เป็นข้อมูลบิดเบือน ไม่สามารถพิสูจน์ได้ สะท้อนได้จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ว่ากัมพูชามีการส่งออกข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน พม่าส่งออกข้าว 3-4 แสนตัน และลาวแทบไม่มีการส่งออกข้าว ดังนั้น หากจะมีข้าวมาสวมสิทธิ์ถึง 3 ล้านตันจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะหากจะทำอย่างนั้นต้องใช้รถบรรทุกขนเป็นแสนเที่ยว
ส่วนข้อกล่าวหาที่ระบุว่าไทยจะเสียแชมป์การส่งออกข้าว ยืนยันว่าปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัน ซึ่งยังรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งอยู่ เพราะจะมีการระบายข้าวผ่านรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกำลังเจรจากับทางรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะนำเข้าข้าวจากไทย 1 ล้านตัน
สำหรับการจำนำข้าวที่มีการกล่าวหาว่าจะทำให้รัฐบาลขาดทุนมากถึง 3 แสนล้านบาท ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะนั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องนำสต๊อกข้าวทั้งหมดไปทิ้งทะเล แต่ประเมินว่าจะขาดทุนเท่าไร ต้องขอให้มีการระบายข้าวสต๊อกรัฐบาลเสร็จสิ้นก่อน โดยยืนยันว่าขาดทุนน้อยกว่าการใช้งบประมาณในโครงการประกันรายได้แน่นอน ทั้งนี้ การประกันรายได้ รัฐบาลใช้เงินประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
“ที่กล่าวหาว่าโครงการรับจำนำเข้าถึงเกษตรกรแค่ 2 ล้านครัวเรือน ขณะที่ประกันรายได้เข้าถึงมากกว่า 5 ล้านครัวเรือน จริงๆ แล้วจากการสำรวจของกระทรวงเกษตรฯ พบว่า เกษตรกรมีการขึ้นทะเบียนแต่ 3 ล้านครัวเรือน แต่ที่มีจำนวนครัวเรือนมากขึ้น เพราะโครงการประกันรายได้เป็นการจ่ายชดเชยไม่ต้องมีข้าว ทำให้มีการขยายครัวเรือนเพิ่มจำนวนมากขึ้น” นายบุญทรงกล่าว
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงฯ จะขอให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ กขช.อนุมัติวงเงิน 2.6 แสนล้านบาท ที่จะใช้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2555/56 รอบใหม่ พร้อมกับหลักเกณฑ์ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำให้รับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ระยะยาว คือ เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2555 ถึง 30 ก.ย. 2556 โดยจำกัดสิทธิ์ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกมาเข้าโครงการได้ 2 รอบ หลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์ถัดไป
ทั้งนี้ วงเงินที่จะใช้รับจำนำเป็นเงินกู้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการรับจำนำ เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการะบายข้าว ซึ่งจะได้เงินมาส่งคืนเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการรับจำนำข้าวต่อไป
ส่วนการระบายข้าวคาดว่าจะเริ่มเปิดให้มีการประมูลได้ในสัปดาห์หน้า จะระบายครั้งละไม่มาก อาจจะ 2-3 แสนตัน เพื่อไม่ให้กระทบกับราคาข้าวในตลาด โดยจะเปิดประมูลให้กับผู้สนใจทั้งในประเทศและส่งออก
นายบุญทรงกล่าวว่า กรณีที่มีการอภิปรายเรื่องข้าวในการชี้แจงงบประมาณของรัฐบาลในสภาฯ ของพรรคฝ่ายค้าน ยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ทำให้ระบบการค้าข้าวของไทยถูกทำลาย แต่กลับยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรกว่า 2 ล้านครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาจำนำข้าว และยังยกระดับราคาสินค้าข้าวในประเทศ โดยข้าวเปลือกเฉลี่ย 6 เดือนอยู่ที่ 1.1 หมื่นบาท/ตัน สูงกว่าราคาข้าวเปลือกปีก่อน 8,000-9,000 บาท/ตัน ขณะที่ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ย 6 เดือนอยู่ที่ 678 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ กรณีที่มีการโจมตีว่าการใช้นโยบายรับจำนำข้าวทุกเม็ด ทำให้เกิดการสวมสิทธิ์ข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าโครงการรับจำนำมากกว่า 3 ล้านตัน เป็นข้อมูลบิดเบือน ไม่สามารถพิสูจน์ได้ สะท้อนได้จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ว่ากัมพูชามีการส่งออกข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน พม่าส่งออกข้าว 3-4 แสนตัน และลาวแทบไม่มีการส่งออกข้าว ดังนั้น หากจะมีข้าวมาสวมสิทธิ์ถึง 3 ล้านตันจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะหากจะทำอย่างนั้นต้องใช้รถบรรทุกขนเป็นแสนเที่ยว
ส่วนข้อกล่าวหาที่ระบุว่าไทยจะเสียแชมป์การส่งออกข้าว ยืนยันว่าปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัน ซึ่งยังรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งอยู่ เพราะจะมีการระบายข้าวผ่านรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกำลังเจรจากับทางรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะนำเข้าข้าวจากไทย 1 ล้านตัน
สำหรับการจำนำข้าวที่มีการกล่าวหาว่าจะทำให้รัฐบาลขาดทุนมากถึง 3 แสนล้านบาท ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะนั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องนำสต๊อกข้าวทั้งหมดไปทิ้งทะเล แต่ประเมินว่าจะขาดทุนเท่าไร ต้องขอให้มีการระบายข้าวสต๊อกรัฐบาลเสร็จสิ้นก่อน โดยยืนยันว่าขาดทุนน้อยกว่าการใช้งบประมาณในโครงการประกันรายได้แน่นอน ทั้งนี้ การประกันรายได้ รัฐบาลใช้เงินประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
“ที่กล่าวหาว่าโครงการรับจำนำเข้าถึงเกษตรกรแค่ 2 ล้านครัวเรือน ขณะที่ประกันรายได้เข้าถึงมากกว่า 5 ล้านครัวเรือน จริงๆ แล้วจากการสำรวจของกระทรวงเกษตรฯ พบว่า เกษตรกรมีการขึ้นทะเบียนแต่ 3 ล้านครัวเรือน แต่ที่มีจำนวนครัวเรือนมากขึ้น เพราะโครงการประกันรายได้เป็นการจ่ายชดเชยไม่ต้องมีข้าว ทำให้มีการขยายครัวเรือนเพิ่มจำนวนมากขึ้น” นายบุญทรงกล่าว
