กระทรวงพลังงานส่งสัญญาณวันที่ 16 ส.ค.ราคาแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีมีโอกาสจะไม่ปรับขึ้นหลังครบกำหนดตรึงราคา 3 เดือนแล้ว เหตุเรกูเลเตอร์ยังไม่สรุปความชัดเจนค่าผ่านท่อฯ
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันที่ 16 สิงหาคม 2555 การปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวีที่ครบกำหนดตรึงราคาไว้ 3 เดือนนั้นมีโอกาสที่จะไม่ปรับขึ้น เนื่องจากยังต้องรอความชัดเจนค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ก่อน ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมก็ยังต้องศึกษาความเหมาะสมว่าหากปรับราคาเชื้อเพลิงดังกล่าวจะกระทบต่อค่าโดยสารอย่างไร
“เอกชนข้องใจเรื่องค่าผ่านท่อก๊าซฯ เอ็นจีวีว่าทำไมต้องจ่ายแพงเท่ากับการขนส่งทางรถยนต์ ซึ่งเบื้องต้นเรกูเลเตอร์ชี้แจงว่าค่าท่อก๊าซฯ มีการลงทุนที่ต้องให้ผลตอบแทนแก่ผู้ก่อสร้าง ไม่เหมือนกับถนนที่รัฐบาลก่อสร้างแต่ไม่ได้มีการเก็บค่าตอบแทนจากผู้ใช้รถยนต์” นายอารักษ์ กล่าว
ส่วนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับราคาพลังงานตลาดโลก หากราคาไม่ปรับสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะราคาแอลพีจี เงินกองทุนฯ ก็จะไม่เป็นภาระมากนัก สำหรับการอุดหนุนราคาแอลพีจี โดยจากช่วงที่ผ่านมาราคาแอลพีจีลดลง การชดเชยลดลง กองทุนฯ มีเงินไหลเข้า จนทำให้ขาดทุนลดลงจากกว่า 20,000 ล้านบาท เหลือ 15,000 ล้านบาท
นายดิเรก ลาวัลย์ศิริ ประธานเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังศึกษาค่าผ่านท่อก๊าซทั้งระบบ ทั้งค่าผ่านท่อก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้าและเอ็นจีวี โดยพิจารณาเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนการลงทุน จากเดิมที่ปัจจุบันนี้ค่าผ่านท่อสำหรับเอ็นจีวีและไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ./ไอพีพี ทาง บมจ.ปตท.จะได้ส่วนเพิ่มจากเนื้อก๊าซ (มาร์จิ้น) ประมาณ 1.75% ส่วนเอสพีพีได้มาร์จิ้น 9.33% ในขณะเดียวกัน การคิดผลตอบแทนการลงทุนก็จะลดลงจากระยะเวลาของท่อก๊าซ 20 ปี เหลือประมาณ 5 ปี โดยการคำนวณยังตอบไม่ได้เช่นกันว่าจะเสร็จเมื่อใด