บางจากชี้แนวโน้มราคาน้ำมันดิบไตรมาส 2 ลดลงอีกจากปัญหาการเมืองกรีซ เศรษฐกิจยุโรปและจีน กังวลไตรมาส 2 ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่นใกล้เคียงเดิม 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่กำลังการกลั่นลดลงหลังปิดซ่อมบำรุงประจำปี 30 วัน เตรียมออกหุ้นกู้อีก 3 พันล้านบาทในปลายปีนี้
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2555 คาดว่าจะอยู่ในระดับน่าพอใจ เพราะค่าการกลั่น (GRM) ไม่รวมผลกระทบจากราคาน้ำมันในไตรมาสนี้น่าจะอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใกล้เคียงไตรมาส 1/2555 แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี 30 วันตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม-23 มิถุนายน 55 ทำให้กำลังการกลั่นในไตรมาสนี้ลดลงเหลือเพียง 7.3 หมื่นบาร์เรล/วัน จากไตรมาสก่อนกลั่นอยู่ที่ 1.01 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงมาจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในกรีซ ปัญหาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ทำให้ไตรมาสนี้บริษัทฯ อาจขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
“วันนี้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นบางจากอยู่ใกล้ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สูง เนื่องจากบริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงโดยทำเฮดจิ้งน้ำมันที่ระดับดูไบ-ก๊าซโซฮอล์ที่ 19.6-19.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่แครกสเปรดในตลาดอยู่ที่ 15-16 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากตรงนี้ และขายน้ำมันเตากำมะถันไปญี่ปุ่นในระดับราคาพรีเมียม แต่จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงมาแตะ 107 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มไตรมาสนี้ราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงมาได้อีก โดยราคาขายปลีกดีเซลในประเทศน่าจะอยู่ที่ 29-32 บาทต่อลิตร และก๊าซโซฮอล์ 35-37 บาทต่อลิตร”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ปีนี้ 7 พันล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งปีหลังจะเฉลี่ย 105-112 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว และสถานการณ์การเมืองกรีซคลี่คลายลง ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบางจากในปีนี้ไม่มากนัก เว้นแต่ราคาน้ำมันดิบ ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่า 106 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้บริษัทฯ มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในงวดปี 2555 และในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้ามี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท มาจากโรงกลั่นเพียง 50% ที่เหลือธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน 20% และธุรกิจใหม่ คือ โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และเอทานอล 30%
นายอนุสรณ์กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ล็อต 2 วงเงินอีก 3,000 ล้านบาท อายุ 7-10 ปี เสนอขายนักลงทุนทั่วไปในปลายปีนี้ เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และโครงการ 3E หรือ Energy Efficiency Environment เพื่อยกระดับโรงกลั่นสู่ High Innovation Refinery ทำให้กำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันกลั่นน้ำมันอยู่ 1-1.1 แสนบาร์เรล/วัน
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2555 คาดว่าจะอยู่ในระดับน่าพอใจ เพราะค่าการกลั่น (GRM) ไม่รวมผลกระทบจากราคาน้ำมันในไตรมาสนี้น่าจะอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใกล้เคียงไตรมาส 1/2555 แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี 30 วันตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม-23 มิถุนายน 55 ทำให้กำลังการกลั่นในไตรมาสนี้ลดลงเหลือเพียง 7.3 หมื่นบาร์เรล/วัน จากไตรมาสก่อนกลั่นอยู่ที่ 1.01 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงมาจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในกรีซ ปัญหาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ทำให้ไตรมาสนี้บริษัทฯ อาจขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
“วันนี้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นบางจากอยู่ใกล้ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สูง เนื่องจากบริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงโดยทำเฮดจิ้งน้ำมันที่ระดับดูไบ-ก๊าซโซฮอล์ที่ 19.6-19.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่แครกสเปรดในตลาดอยู่ที่ 15-16 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากตรงนี้ และขายน้ำมันเตากำมะถันไปญี่ปุ่นในระดับราคาพรีเมียม แต่จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงมาแตะ 107 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มไตรมาสนี้ราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงมาได้อีก โดยราคาขายปลีกดีเซลในประเทศน่าจะอยู่ที่ 29-32 บาทต่อลิตร และก๊าซโซฮอล์ 35-37 บาทต่อลิตร”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ปีนี้ 7 พันล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งปีหลังจะเฉลี่ย 105-112 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว และสถานการณ์การเมืองกรีซคลี่คลายลง ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบางจากในปีนี้ไม่มากนัก เว้นแต่ราคาน้ำมันดิบ ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่า 106 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้บริษัทฯ มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในงวดปี 2555 และในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้ามี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท มาจากโรงกลั่นเพียง 50% ที่เหลือธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน 20% และธุรกิจใหม่ คือ โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และเอทานอล 30%
นายอนุสรณ์กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ล็อต 2 วงเงินอีก 3,000 ล้านบาท อายุ 7-10 ปี เสนอขายนักลงทุนทั่วไปในปลายปีนี้ เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และโครงการ 3E หรือ Energy Efficiency Environment เพื่อยกระดับโรงกลั่นสู่ High Innovation Refinery ทำให้กำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันกลั่นน้ำมันอยู่ 1-1.1 แสนบาร์เรล/วัน