ASTVผู้จัดการรายวัน - บิ๊กบอสดุสิตธานีหวัง ปีนี้ธุรกิจฟื้น เล็งขึ้นราคาห้องพัก 5-7% กลับไปเท่า 5 ปีก่อน ปรับขึ้นสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 30% โหมทำตลาดเอเชีย ชดเชย ตลาดยุโรป พร้อมลุยเปิดโรงแรมต่างประเทศถึง 5 แห่ง สูงสุดเท่าที่เคยเปิดมา เย้ยไม่มีรัฐบาลไหนผุดเมกะโปรเจกต์ได้สำเร็จ
นายชนินทธ์ โทณวณิก กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของ ดุสิตธานี ปี 2555 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 64% เพิ่มจากปี 2553 ราว 10% แต่ราคาห้องพักลดลง 3-4% มีรายได้รวมเกือบ 4,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ที่คาดว่า จะทำได้ 4,200 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และปีนี้อัตราเข้าพักคาดว่าจะเพิ่มเป็นมากกว่า 70% มีราคาเฉลี่ยห้องพักกลับไปเท่ากับปี 2550 ซึ่ง เป็นปีที่ราคาห้องพักสูงสุดของดุสิตธานี โดยปีนี้ตั้งใจปรับขึ้นค่าห้องพักอย่างน้อย 5-7%
เปิดโรงแรม 5 แห่งมากสุด
นอกจากจำนวนแขกเข้าพักเพิ่มขึ้นปีนี้ ปัจจัยเสริมที่จะทำให้ดุสิตธานีมีรายได้เติบโต มาจาก การเปิดโรงแรม ใหม่อีก 5 แห่ง ใน 5 ประเทศ สูงสุดเท่าที่เคยเปิดบริการมา เฉลี่ยไตรมาสละ 1 แห่ง ประเดิม มัลดีฟส์ แห่งแรก ซึ่งจะเปิดในอีก 2 สัปดาห์หน้า ชื่อ โรงแรม ดุสิตธานี มัลดีฟส์ ลงทุนเองด้วยเม็ดเงิน 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสามารถทำราคาได้ถึงคืนละ 700-800 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าในประเทศที่ราคาห้องพักไม่ถึง 200 เหรียญสหรัฐฯต่อคืน ส่วนอีก 4 แห่ง เป็นรับบริหารภายใต้แบรนด์ดุสิตธานี ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โรงแรม ดุสิตธานี ซันย่า ประเทศจีน, โรงแรมดุสิตดีทู พาซาดีน่า แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และ โรงแรมดุสิต เทวารัณย์ นิวเดลี ประเทศอินเดีย
“หากไม่มีปัญหาการเมือง หรือ น้ำท่วมรอบสอง มั่นใจว่า ท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะเติบโตมาก เห็นได้จากขณะนี้ดุสิตธานีมียอดจองล่วงหน้าเดือน ก.พ.แล้ว ถึงกว่า 50% โดยหวังว่า รัฐบาลจะมีแผนบริหารจัดการน้ำที่ดีและทำได้จริง ส่วนผลของการเมือง ทำให้ปี 2553 ซึ่งมีการชุมนุม โรงแรมดุสิต มีอัตราพักลดลงเหลือ 54% เท่านั้น เพราะผลจากการเมืองกระทบให้ท่องเที่ยวชะลอตัว ทำให้ปัจจุบันนี้ราคาเฉลี่ยที่พักโรงแรม (ARR) ในประเทศไทย ต่ำกว่าประเทศย่านเดียวกันในอาเซียน ทั้ง ลาว พม่า เวียดนาม สิงคโปร์ ศรีลังกา หรือ มีราคาต่ำกว่า 2-3 เท่า”
เปิดรับลูกค้าจีน-อินเดียดันรายได้เพิ่ม
ช่องทางการตลาด ที่จะทำให้ดุสิตธานี เติบโตบรรลุเป้าหมาย ได้ปรับ จากขายผ่านตัวแทนจำหน่าย เป็นการตั้งสำนักงานขายในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง เมืองเซี่ยงไฮ้ และ กรุงนิวเดลี จากเดิมมีสำนักงานแล้วที่เมืองดูไบ นอกจากนี้ยังพัฒนาเว็บไซต์ เพิ่มภาษาจีน จากปัจจุบันมีเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และอาหรับ ซึ่งเว็บไซต์จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายในตลาดสำคัญได้ โดยดุสิต จะให้ความสำคัญลูกค้าตลาดเอเชีย ทั้ง จีน อินเดีย เพิ่มขึ้น ชดเชยตลาดยุโรป ที่อาจชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่จะใช้ราคาเป็นตัวกำหนดกลุ่มลูกค้า จับเฉพาะระดับไฮเอนด์ และนักธุรกิจ ตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าจากจีนและอินเดียเพิ่มเป็นตลาดละ 5% จากปัจจุบัน ทั้งสองตลาดมีสัดส่วนไม่ถึง 2%
ส่วนตลาดยุโรปสัดส่วน 50% แต่ปีนี้คงไม่เติบโต ส่วน คนไทย 30% และ ญี่ปุ่น 10% ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ มาจากตลาดต่างประเทศ 30% เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 20%
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ปีนี้ จะฟื้นดีขึ้นได้ หากการจัดประชุมใหญ่ ที่มีกำหนดจัดขึ้นในประเทศไทยปีนี้สำเร็จด้วยดี ซึ่งจะมีทั้งการประชุมสมาชิกโรตารี่โลก, ประชุมฟีฟ่า และ ประชุม เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม ครั้งที่ 2 ซึ่งจะมีขึ้น 30 พ.ค.- 1 มิ.ย.ศกนี้ ซึ่งตลาดการจัดประชุมใหญ่นี้ จะช่วยสร้ารายได้ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยได้มาก
ไม่เชื่อรัฐจะผุดเมกะโปรเจกต์ ชี้แค่ยาหอม
นายชนินทธ์ กล่าวถึงนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ว่า จะยินดีมากหากรัฐบาลชุดนี้ สามารถสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านการท่องเที่ยวได้สำเร็จ เพราะกว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ประเทศไทยไม่มีเมกะโปรเจกต์ ให้แก่อุตสาหกรรมนี้เลย แม้โครงการรอยัลโค้ช ที่มีแผนอยู่แล้ว ยังเปลี่ยนอยู่เรื่อย อย่างโครงการ มิราเคิล ไทยแลนด์ เยียร์ ซึ่งใช้งบประมาณถึง 6,000 ล้านบาท มองว่า เป็นการใช้งบที่มากเกินความจำเป็น ที่จะนำเงินจำนวนมากมาละลายหมดใน 1 ปี รัฐควรแบ่งเงินไปลงทุนด้านแหล่งท่องเที่ยวด้วย ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ภาคเอกชนของไทยมีความกล้าที่จะลงทุนมาก แม้จะมองไม่เห็นผลตอบแทนที่ดี แต่ทุกคนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยที่มีอยู่ ต่างชาติชื่นชอบประเทศไทย หากไม่มีเหตุร้ายแรง เขาก็ยังที่จะมาประเทศไทยแต่รัฐควรทำให้ดีกว่านี้
“รัฐควรให้ความสำคัญที่จะเตรียมแผนระยะยาว เพื่อรับการแข่งขันในปี 2558 ซึ่งจะเปิดเสรีอาเซียน ผมไม่มีความหวังจะได้เมกะโปรเจกต์จากรัฐบาล แต่ถ้าทำได้ก็ขอปรบมือให้ รัฐบาลกี่ยุค ก็ยังไม่มีเมกะโปรเจกต์ เพราะปัญหาท่องเที่ยวคือการเมือง ทำให้ผู้บริหารคิดเพียงแผนระยะสั้น ทำโปรโมชัน เป็นอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ที่ใช้เวลาไม่ถึงปีก็จบ ขณะที่สิงคโปร์ปรับโฉมตัวเองด้วยเมกะโปรเจกต์ ช่วยสร้างรายได้ให้อย่างมหาศาลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น” นายชนินทธ์ กล่าว
นายชนินทธ์ โทณวณิก กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของ ดุสิตธานี ปี 2555 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 64% เพิ่มจากปี 2553 ราว 10% แต่ราคาห้องพักลดลง 3-4% มีรายได้รวมเกือบ 4,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ที่คาดว่า จะทำได้ 4,200 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และปีนี้อัตราเข้าพักคาดว่าจะเพิ่มเป็นมากกว่า 70% มีราคาเฉลี่ยห้องพักกลับไปเท่ากับปี 2550 ซึ่ง เป็นปีที่ราคาห้องพักสูงสุดของดุสิตธานี โดยปีนี้ตั้งใจปรับขึ้นค่าห้องพักอย่างน้อย 5-7%
เปิดโรงแรม 5 แห่งมากสุด
นอกจากจำนวนแขกเข้าพักเพิ่มขึ้นปีนี้ ปัจจัยเสริมที่จะทำให้ดุสิตธานีมีรายได้เติบโต มาจาก การเปิดโรงแรม ใหม่อีก 5 แห่ง ใน 5 ประเทศ สูงสุดเท่าที่เคยเปิดบริการมา เฉลี่ยไตรมาสละ 1 แห่ง ประเดิม มัลดีฟส์ แห่งแรก ซึ่งจะเปิดในอีก 2 สัปดาห์หน้า ชื่อ โรงแรม ดุสิตธานี มัลดีฟส์ ลงทุนเองด้วยเม็ดเงิน 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสามารถทำราคาได้ถึงคืนละ 700-800 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าในประเทศที่ราคาห้องพักไม่ถึง 200 เหรียญสหรัฐฯต่อคืน ส่วนอีก 4 แห่ง เป็นรับบริหารภายใต้แบรนด์ดุสิตธานี ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โรงแรม ดุสิตธานี ซันย่า ประเทศจีน, โรงแรมดุสิตดีทู พาซาดีน่า แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และ โรงแรมดุสิต เทวารัณย์ นิวเดลี ประเทศอินเดีย
“หากไม่มีปัญหาการเมือง หรือ น้ำท่วมรอบสอง มั่นใจว่า ท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะเติบโตมาก เห็นได้จากขณะนี้ดุสิตธานีมียอดจองล่วงหน้าเดือน ก.พ.แล้ว ถึงกว่า 50% โดยหวังว่า รัฐบาลจะมีแผนบริหารจัดการน้ำที่ดีและทำได้จริง ส่วนผลของการเมือง ทำให้ปี 2553 ซึ่งมีการชุมนุม โรงแรมดุสิต มีอัตราพักลดลงเหลือ 54% เท่านั้น เพราะผลจากการเมืองกระทบให้ท่องเที่ยวชะลอตัว ทำให้ปัจจุบันนี้ราคาเฉลี่ยที่พักโรงแรม (ARR) ในประเทศไทย ต่ำกว่าประเทศย่านเดียวกันในอาเซียน ทั้ง ลาว พม่า เวียดนาม สิงคโปร์ ศรีลังกา หรือ มีราคาต่ำกว่า 2-3 เท่า”
เปิดรับลูกค้าจีน-อินเดียดันรายได้เพิ่ม
ช่องทางการตลาด ที่จะทำให้ดุสิตธานี เติบโตบรรลุเป้าหมาย ได้ปรับ จากขายผ่านตัวแทนจำหน่าย เป็นการตั้งสำนักงานขายในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง เมืองเซี่ยงไฮ้ และ กรุงนิวเดลี จากเดิมมีสำนักงานแล้วที่เมืองดูไบ นอกจากนี้ยังพัฒนาเว็บไซต์ เพิ่มภาษาจีน จากปัจจุบันมีเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และอาหรับ ซึ่งเว็บไซต์จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายในตลาดสำคัญได้ โดยดุสิต จะให้ความสำคัญลูกค้าตลาดเอเชีย ทั้ง จีน อินเดีย เพิ่มขึ้น ชดเชยตลาดยุโรป ที่อาจชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่จะใช้ราคาเป็นตัวกำหนดกลุ่มลูกค้า จับเฉพาะระดับไฮเอนด์ และนักธุรกิจ ตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าจากจีนและอินเดียเพิ่มเป็นตลาดละ 5% จากปัจจุบัน ทั้งสองตลาดมีสัดส่วนไม่ถึง 2%
ส่วนตลาดยุโรปสัดส่วน 50% แต่ปีนี้คงไม่เติบโต ส่วน คนไทย 30% และ ญี่ปุ่น 10% ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ มาจากตลาดต่างประเทศ 30% เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 20%
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ปีนี้ จะฟื้นดีขึ้นได้ หากการจัดประชุมใหญ่ ที่มีกำหนดจัดขึ้นในประเทศไทยปีนี้สำเร็จด้วยดี ซึ่งจะมีทั้งการประชุมสมาชิกโรตารี่โลก, ประชุมฟีฟ่า และ ประชุม เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม ครั้งที่ 2 ซึ่งจะมีขึ้น 30 พ.ค.- 1 มิ.ย.ศกนี้ ซึ่งตลาดการจัดประชุมใหญ่นี้ จะช่วยสร้ารายได้ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยได้มาก
ไม่เชื่อรัฐจะผุดเมกะโปรเจกต์ ชี้แค่ยาหอม
นายชนินทธ์ กล่าวถึงนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ว่า จะยินดีมากหากรัฐบาลชุดนี้ สามารถสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านการท่องเที่ยวได้สำเร็จ เพราะกว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ประเทศไทยไม่มีเมกะโปรเจกต์ ให้แก่อุตสาหกรรมนี้เลย แม้โครงการรอยัลโค้ช ที่มีแผนอยู่แล้ว ยังเปลี่ยนอยู่เรื่อย อย่างโครงการ มิราเคิล ไทยแลนด์ เยียร์ ซึ่งใช้งบประมาณถึง 6,000 ล้านบาท มองว่า เป็นการใช้งบที่มากเกินความจำเป็น ที่จะนำเงินจำนวนมากมาละลายหมดใน 1 ปี รัฐควรแบ่งเงินไปลงทุนด้านแหล่งท่องเที่ยวด้วย ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ภาคเอกชนของไทยมีความกล้าที่จะลงทุนมาก แม้จะมองไม่เห็นผลตอบแทนที่ดี แต่ทุกคนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยที่มีอยู่ ต่างชาติชื่นชอบประเทศไทย หากไม่มีเหตุร้ายแรง เขาก็ยังที่จะมาประเทศไทยแต่รัฐควรทำให้ดีกว่านี้
“รัฐควรให้ความสำคัญที่จะเตรียมแผนระยะยาว เพื่อรับการแข่งขันในปี 2558 ซึ่งจะเปิดเสรีอาเซียน ผมไม่มีความหวังจะได้เมกะโปรเจกต์จากรัฐบาล แต่ถ้าทำได้ก็ขอปรบมือให้ รัฐบาลกี่ยุค ก็ยังไม่มีเมกะโปรเจกต์ เพราะปัญหาท่องเที่ยวคือการเมือง ทำให้ผู้บริหารคิดเพียงแผนระยะสั้น ทำโปรโมชัน เป็นอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ที่ใช้เวลาไม่ถึงปีก็จบ ขณะที่สิงคโปร์ปรับโฉมตัวเองด้วยเมกะโปรเจกต์ ช่วยสร้างรายได้ให้อย่างมหาศาลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น” นายชนินทธ์ กล่าว