“ไมเนอร์ฯ” สยายปีกกลุ่มแฟชั่น ซุ่มช่องทางจำหน่ายใหม่รุกตลาด นำร่องปั้น “ไมเนอร์เอาท์เล็ตสแตนด์อโลน” สาขาแรกที่เมืองทองธานีแล้ว พร้อมเตรียมช่องทางออนไลน์เร็วๆนี้ แย้มนำเข้าเสือผ้าแบรนด์ใหม่สิ้นปีนี้อีก1แบรนด์ เปิดตัวบัตรสะสมแต้มมัดใจลูกค้า
นายไมเคิล บิงเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมของกลุ่มไมเนอร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายช่องทางจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชันลักซ์ชัวรี่มากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายและการทำตลาดรวมทั้งการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ช่องทางใหม่ๆ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวการขายสินค้ากลุ่มแฟชั่นผ่านระบบออนไลน์ในเร็วๆนี้ คาดว่าอีกประมาณ 1-2 เดือนจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าาเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ไมเนอร์ฯก็ได้ขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆด้วยการเปิดตัว “ไมเนอร์ เอาท์เล็ต” (MINOR OUTLET ) แบบสแตนด์อโลน เป็นแห่งแรกเมื่อเดือนที่ผ่านมาแล้ว ถือว่าเป็นโครงการทดลอง โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 800 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่ถนนป๊อปปูล่าร์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี ในโครงการเมืองทองธานี
“คอนเซ็ปท์ของร้านไมเนอร์ เอาท์เล็ต จะเป็นศูนย์รวมแฟชั่นไลฟ์สไตล์ แบรนด์อินเตอร์ระดับโลก ทั้งสินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอางค์ รองเท้า เครื่องประดับ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดจนผลิตภัณธ์เครื่องครัวและผลิตภัณฑ์การเดินทางของทุกแบรนด์ที่กลุ่มไมเนอร์ฯจัดจำหน่ายอยู่ในไทย ด้วยสโลแกน “ Style @ Less, Bargain @ minor Outlet”
ปัจจุบันนี้ในกลุ่มแฟชั่นที่ไมเนอร์ฯจัดจำหน่ายมี 8 แบรนด์ดังคือ เอสปรี (ESPRIT), บอสสินี (BOSSINI), แกป (GAP) , ชาร์ลส์แอนด์คีธ (Charles & Keith), ทูมิ (Tumi) เครื่องสำอางเช่น สแมชบ๊อกซ์ (Smashbox) , บลูม (Bloom), เรดเอิร์ท (Red Earth) และแบรนด์เครื่องครัว อุปกรณ์ความงาม คือ ตุ๊กตาคู่หรือ Henckels Zwilling
นายไมเคิล กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนที่จะขยายแบรนด์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ไม่ได้กำหนดชัดเจนตายตัวว่า จะต้องมีแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นเท่าไรต่อปี แต่จะพิจารณาดูถึงความเหมาะสมของแบรนด์ของตลาดและความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจมากกว่า ซึ่งแบรนด์ล่าสุดคือ แกป (GAP) ที่เริ่มเมื่อปีที่แล้ว โดยเอสปรีเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับกุล่ม และคาดว่ก่อนสิ้นปีนี้น่าจะมีแบรนด์ใหม่อีกแบรดน์เป็นเสื้อผ้า
ล่าสุดเปิดตัวบัตรไมเนอร์พลัสการ์ด เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางด้านซีอาร์เอ็ม เป็นบัตรสะสมคะแนนจากทุกยอดซื้อจากทุกร้านค้าทุกแบรนด์ในกลุ่มไมเนอร์รีเทล คอร์ปอเรชัน 8 แบรนด์ ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆเข้าทำตลาดด้วย ส่วนกลุ่มฟู้ดกับกลุ่มโรงแรมยังไม่ได้เข้าร่วมมือกันแต่จะเป็นโครงการในอนาคต บัตรนี้จับกลุ่มเป้าหมายคนวัยทำงานกลุ่มครอบครัวตั้งแต่อายุ 20-50 ปี โดยมีรายได้ตั้งแต่ 15,000 - 150,000 บาทขึ้นไป
บัตรดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1.บัตรไมเนอร์พลัสการ์ดโกลด์ สถานภาพสูงสุด ยอดจับจ่าย 50,000 บาทขึ้นไปต่อปี 2.บัตรไมเนอร์พลัสดการ์ดซิลเวอร์ จับจ่ายเฉลี่ย 10,000 - 49,999 บาท และ 3.บัตรไมเนอร์พลัสการด์คลาสสิค จับจ่ายต่ำกกว่า 9,999 บาทลงมา ซึ่งทุกบัตรสมัครโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะได้รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท และทุกการใช้จ่ายของสมาชิก 1 บาทจะได้รับคะแนนสะสม 1 คะแนน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการลดราคาสินค้า การแลกของพรีเมียม หรือการได้รับสิทธ์ร่วมกิจกรรมอื่นๆ โดยบัตรจะมีอายุ 3 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 11,000 รายแล้วหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมี 70,000 ราย และคาดว่าสิ้นปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100,000 ราย
นายไมเคิลกล่าวต่อว่า ผลประกอบการสิ้นปีนี้ของกลุ่มแฟชั่นคาดว่าจะมีการเติบโต 20% ขณะที่ตลาดรวมแฟชั่นจะเติบโตประมาณ 10% โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯจะมาจาก กรุงเทพ 70% และต่างจังหวัด 30% ซึ่งไตรมาสสุดท้ายนี้มั่นใจว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯไม่มีแผนลดราคาจำนวนมากเพื่อมาต่อสู้กับอินเตอร์แบรนด์ใหม่ๆที่เข้ามาทำตลาดในไทยโดยใช้กลยุทธ์ราคาต่ำช่วย
นายไมเคิล บิงเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมของกลุ่มไมเนอร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายช่องทางจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชันลักซ์ชัวรี่มากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายและการทำตลาดรวมทั้งการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ช่องทางใหม่ๆ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวการขายสินค้ากลุ่มแฟชั่นผ่านระบบออนไลน์ในเร็วๆนี้ คาดว่าอีกประมาณ 1-2 เดือนจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าาเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ไมเนอร์ฯก็ได้ขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆด้วยการเปิดตัว “ไมเนอร์ เอาท์เล็ต” (MINOR OUTLET ) แบบสแตนด์อโลน เป็นแห่งแรกเมื่อเดือนที่ผ่านมาแล้ว ถือว่าเป็นโครงการทดลอง โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 800 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่ถนนป๊อปปูล่าร์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี ในโครงการเมืองทองธานี
“คอนเซ็ปท์ของร้านไมเนอร์ เอาท์เล็ต จะเป็นศูนย์รวมแฟชั่นไลฟ์สไตล์ แบรนด์อินเตอร์ระดับโลก ทั้งสินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอางค์ รองเท้า เครื่องประดับ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดจนผลิตภัณธ์เครื่องครัวและผลิตภัณฑ์การเดินทางของทุกแบรนด์ที่กลุ่มไมเนอร์ฯจัดจำหน่ายอยู่ในไทย ด้วยสโลแกน “ Style @ Less, Bargain @ minor Outlet”
ปัจจุบันนี้ในกลุ่มแฟชั่นที่ไมเนอร์ฯจัดจำหน่ายมี 8 แบรนด์ดังคือ เอสปรี (ESPRIT), บอสสินี (BOSSINI), แกป (GAP) , ชาร์ลส์แอนด์คีธ (Charles & Keith), ทูมิ (Tumi) เครื่องสำอางเช่น สแมชบ๊อกซ์ (Smashbox) , บลูม (Bloom), เรดเอิร์ท (Red Earth) และแบรนด์เครื่องครัว อุปกรณ์ความงาม คือ ตุ๊กตาคู่หรือ Henckels Zwilling
นายไมเคิล กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนที่จะขยายแบรนด์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ไม่ได้กำหนดชัดเจนตายตัวว่า จะต้องมีแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นเท่าไรต่อปี แต่จะพิจารณาดูถึงความเหมาะสมของแบรนด์ของตลาดและความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจมากกว่า ซึ่งแบรนด์ล่าสุดคือ แกป (GAP) ที่เริ่มเมื่อปีที่แล้ว โดยเอสปรีเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับกุล่ม และคาดว่ก่อนสิ้นปีนี้น่าจะมีแบรนด์ใหม่อีกแบรดน์เป็นเสื้อผ้า
ล่าสุดเปิดตัวบัตรไมเนอร์พลัสการ์ด เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางด้านซีอาร์เอ็ม เป็นบัตรสะสมคะแนนจากทุกยอดซื้อจากทุกร้านค้าทุกแบรนด์ในกลุ่มไมเนอร์รีเทล คอร์ปอเรชัน 8 แบรนด์ ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆเข้าทำตลาดด้วย ส่วนกลุ่มฟู้ดกับกลุ่มโรงแรมยังไม่ได้เข้าร่วมมือกันแต่จะเป็นโครงการในอนาคต บัตรนี้จับกลุ่มเป้าหมายคนวัยทำงานกลุ่มครอบครัวตั้งแต่อายุ 20-50 ปี โดยมีรายได้ตั้งแต่ 15,000 - 150,000 บาทขึ้นไป
บัตรดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1.บัตรไมเนอร์พลัสการ์ดโกลด์ สถานภาพสูงสุด ยอดจับจ่าย 50,000 บาทขึ้นไปต่อปี 2.บัตรไมเนอร์พลัสดการ์ดซิลเวอร์ จับจ่ายเฉลี่ย 10,000 - 49,999 บาท และ 3.บัตรไมเนอร์พลัสการด์คลาสสิค จับจ่ายต่ำกกว่า 9,999 บาทลงมา ซึ่งทุกบัตรสมัครโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะได้รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท และทุกการใช้จ่ายของสมาชิก 1 บาทจะได้รับคะแนนสะสม 1 คะแนน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการลดราคาสินค้า การแลกของพรีเมียม หรือการได้รับสิทธ์ร่วมกิจกรรมอื่นๆ โดยบัตรจะมีอายุ 3 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 11,000 รายแล้วหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมี 70,000 ราย และคาดว่าสิ้นปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100,000 ราย
นายไมเคิลกล่าวต่อว่า ผลประกอบการสิ้นปีนี้ของกลุ่มแฟชั่นคาดว่าจะมีการเติบโต 20% ขณะที่ตลาดรวมแฟชั่นจะเติบโตประมาณ 10% โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯจะมาจาก กรุงเทพ 70% และต่างจังหวัด 30% ซึ่งไตรมาสสุดท้ายนี้มั่นใจว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯไม่มีแผนลดราคาจำนวนมากเพื่อมาต่อสู้กับอินเตอร์แบรนด์ใหม่ๆที่เข้ามาทำตลาดในไทยโดยใช้กลยุทธ์ราคาต่ำช่วย