ช่อง 3 โว มิ.ย.เดือนเดียวโต 10% ส่งไตรมาสสองโต 18% เหตุขยับเพิ่มราคาโฆษณา เพิ่มเวลารายการข่าว-ละคร วางเป็นโมเดลเพิ่มรายได้ในอนาคต ชี้ ครึ่งปีหลังให้ความสำคัญกับครอบครัวข่าวเป็นหลัก มั่นใจทั้งปีโตแน่ 13-14% เชื่อ สื่อทีวียังสำคัญต่อเนื่องใน 3 ปีนี้ หลังจากนั้นสื่อรองจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าตัวเลขโฆษณารวมในสื่อทีวีในเดือน มิ.ย.2554 นี้ จะเติบโตเพียง 2.76% นั้น แต่ในส่วนของช่อง 3 แล้ว กลับพบว่า มีอัตราการเติบโตถึง 10% ส่วนสำคัญมาจากกลยุทธ์การเพิ่มรายได้จาก 3 ข้อหลัก คือ 1.การปรับราคาโฆษณาขึ้นในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งมีการปรับเพียงรายการเดียว ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา จากเดิมคิดราคาโฆษณาที่ 1.75 แสนบาทต่อนาที เพิ่มเป็น 2 แสนบาทต่อนาที หรือปรับขึ้น 12-13%
2.ในเดือน มิ.ย.ได้ขยายเวลาเพิ่มให้กับบางรายการที่มีเรตติ้งดี เช่น ช่วงของ ครอบครัวข่าวบันเทิง ได้เพิ่มเวลาอีก 12 นาที รวมเป็น 22 นาที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้มีเวลาแอร์ไทม์เพิ่มในการขายโฆษณาได้อีก และ 3.ในส่วนของละคร ทั้งละครก่อนเข้ารายการข่าวในพระราชสำนัก ได้เพิ่มเวลาอีก 30 นาที จากเดิมออกอากาศตั้งแต่ 19.30-20.00น.มาเป็น 18.30-20.00 น.และละครในช่วงหลังข่าวค่ำ ได้ปรับเพิ่มเวลาการออกอากาศให้นานขึ้นอีก 15 นาทีด้วย จากเดิมจะต้องจบในเวลา 22.30 น.มาเป็น 22.45 นาที
จากกลยุทธ์ที่กล่าวมา จึงทำให้ช่อง 3 มีรายได้โฆษณาในเดือน มิ.ย.ดีกว่าโฆษณารวมในสื่อทีวี พร้องทั้งคาดว่าจะส่งผลให้รายได้โฆษณาในไตรมาสสองนี้เติบโตได้ถึง 18% ขณะที่ไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา เติบโตเพียง 13% ทั้งนี้ มองว่า ส่วนหนึ่งที่ไตรมาสสองโตกว่าไตรมาสแรก มาจากปีก่อนในเดือน พ.ค.ช่อง 3 ได้หยุดการออกอากาศไป 2 วัน ในช่วงการการชุมนุม
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง จะโฟกัสไปที่กลยุทธ์การเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการปรับราคาโฆษณาในบางช่วงรายการ และการขยายเวลาในรายการที่มีเรตติ้งสูง โดยเฉพาะในกลุ่มรายการครอบครัวข่าว เช่น รายการเรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มเวลาอีก 15 นาที, รายการข่าว 3 มิติ จากเดิมออกอากาศวันละ 30 นาที ได้ปรับเพิ่มอีก 15 นาที ในวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นกัน รวมแล้วในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้ปรับเพิ่มเวลาเกี่ยวกับรายการข่าวอีก 5-10% ส่งผลให้สัดส่วนเวลาการออกอากาศของรายการข่าวอยู่ที่ 55% เมื่อเทียบกับเวลาการออกอากาศทั้งหมด โดยในแง่ของรายได้นั้น สิ้นปีนี้คาดว่ากลุ่มรายการข่าวน่าจะทำรายได้ให้ช่อง 3 ได้ประมาณ 25% เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมด
ส่วนเวลาการออกอากาศของละครนั้น อยู่ที่ 15-16% ของเวลารวมทั้งหมด หรือราว 4 ชม.ต่อวัน โดยในแง่ของรายได้ของกลุ่มละครอยู่ที่ 50% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งเฉพาะในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มละคร มีรายได้เติบโตขึ้น 30% ขณะที่รายได้รวมของช่อง3 ในครึ่งปีหลังนี้ น่าจะทำได้อีก 13-14% หรือทั้งปีคาดว่าช่อง 3 จะมีอัตราการเติบโตที่ 13-14%
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม มองว่า สื่อทีวียังเป็นสื่อที่มีความสำคัญ และเป็นสื่อที่เอเยนซียังพร้อมใช้เม็ดเงินโฆษณาอย่างต่อเนื่องไปอีก 3 ปีเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้น สื่อรอง หรือสื่อทางเลือกจะเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่า ไม่สามารถเข้ามาแทนที่สื่อทีวีได้ แต่อาจจะเป็นสื่อที่เข้ามาเสริมกันมากกว่า
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าตัวเลขโฆษณารวมในสื่อทีวีในเดือน มิ.ย.2554 นี้ จะเติบโตเพียง 2.76% นั้น แต่ในส่วนของช่อง 3 แล้ว กลับพบว่า มีอัตราการเติบโตถึง 10% ส่วนสำคัญมาจากกลยุทธ์การเพิ่มรายได้จาก 3 ข้อหลัก คือ 1.การปรับราคาโฆษณาขึ้นในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งมีการปรับเพียงรายการเดียว ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา จากเดิมคิดราคาโฆษณาที่ 1.75 แสนบาทต่อนาที เพิ่มเป็น 2 แสนบาทต่อนาที หรือปรับขึ้น 12-13%
2.ในเดือน มิ.ย.ได้ขยายเวลาเพิ่มให้กับบางรายการที่มีเรตติ้งดี เช่น ช่วงของ ครอบครัวข่าวบันเทิง ได้เพิ่มเวลาอีก 12 นาที รวมเป็น 22 นาที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้มีเวลาแอร์ไทม์เพิ่มในการขายโฆษณาได้อีก และ 3.ในส่วนของละคร ทั้งละครก่อนเข้ารายการข่าวในพระราชสำนัก ได้เพิ่มเวลาอีก 30 นาที จากเดิมออกอากาศตั้งแต่ 19.30-20.00น.มาเป็น 18.30-20.00 น.และละครในช่วงหลังข่าวค่ำ ได้ปรับเพิ่มเวลาการออกอากาศให้นานขึ้นอีก 15 นาทีด้วย จากเดิมจะต้องจบในเวลา 22.30 น.มาเป็น 22.45 นาที
จากกลยุทธ์ที่กล่าวมา จึงทำให้ช่อง 3 มีรายได้โฆษณาในเดือน มิ.ย.ดีกว่าโฆษณารวมในสื่อทีวี พร้องทั้งคาดว่าจะส่งผลให้รายได้โฆษณาในไตรมาสสองนี้เติบโตได้ถึง 18% ขณะที่ไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา เติบโตเพียง 13% ทั้งนี้ มองว่า ส่วนหนึ่งที่ไตรมาสสองโตกว่าไตรมาสแรก มาจากปีก่อนในเดือน พ.ค.ช่อง 3 ได้หยุดการออกอากาศไป 2 วัน ในช่วงการการชุมนุม
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง จะโฟกัสไปที่กลยุทธ์การเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการปรับราคาโฆษณาในบางช่วงรายการ และการขยายเวลาในรายการที่มีเรตติ้งสูง โดยเฉพาะในกลุ่มรายการครอบครัวข่าว เช่น รายการเรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มเวลาอีก 15 นาที, รายการข่าว 3 มิติ จากเดิมออกอากาศวันละ 30 นาที ได้ปรับเพิ่มอีก 15 นาที ในวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นกัน รวมแล้วในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้ปรับเพิ่มเวลาเกี่ยวกับรายการข่าวอีก 5-10% ส่งผลให้สัดส่วนเวลาการออกอากาศของรายการข่าวอยู่ที่ 55% เมื่อเทียบกับเวลาการออกอากาศทั้งหมด โดยในแง่ของรายได้นั้น สิ้นปีนี้คาดว่ากลุ่มรายการข่าวน่าจะทำรายได้ให้ช่อง 3 ได้ประมาณ 25% เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมด
ส่วนเวลาการออกอากาศของละครนั้น อยู่ที่ 15-16% ของเวลารวมทั้งหมด หรือราว 4 ชม.ต่อวัน โดยในแง่ของรายได้ของกลุ่มละครอยู่ที่ 50% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งเฉพาะในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มละคร มีรายได้เติบโตขึ้น 30% ขณะที่รายได้รวมของช่อง3 ในครึ่งปีหลังนี้ น่าจะทำได้อีก 13-14% หรือทั้งปีคาดว่าช่อง 3 จะมีอัตราการเติบโตที่ 13-14%
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม มองว่า สื่อทีวียังเป็นสื่อที่มีความสำคัญ และเป็นสื่อที่เอเยนซียังพร้อมใช้เม็ดเงินโฆษณาอย่างต่อเนื่องไปอีก 3 ปีเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้น สื่อรอง หรือสื่อทางเลือกจะเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่า ไม่สามารถเข้ามาแทนที่สื่อทีวีได้ แต่อาจจะเป็นสื่อที่เข้ามาเสริมกันมากกว่า