“สังศิต” คาดเม็ดเงินสะพัดเลือกตั้ง 3 หมื่นล้าน “อีสาน” ครองแชมป์ เงินไม่มา-กาไม่เป็น เขตช้างชนช้างจัดหนัก 30-70 ล้าน แฉกลุ่มธุรกิจเตรียมถอนทุน 2 แสนล้าน เพราะเวลาเป็นรัฐบาล มันได้หมดทุกอย่าง มีสัมปทานเยอะ บริษัทที่มีเจ้าของเป็น รมต. ประมูลชนะตลอด สามารถครอบครองทรัพยากรของชาติได้ พร้อมเปิดรายชื่อถุงเงินเลือกตั้ง 4 พรรคใหญ่
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ซึ่งศึกษาด้านการคอร์รัปชั่น ประเมินว่า เม็ดเงินที่จะสะพัดในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 ล้านบาท เพราะมีการแข่งขันสูง ในแต่ละเขตที่สูสีกัน จะใช้เงินกันระหว่าง 30-70 ล้านบาท เป็นการใช้เพื่อการซื้อเสียง
“เหมือนเดิม จ่ายกันอยู่ใต้ดิน ตรวจสอบยาก เพราะไม่มีหลักฐานหรือใบเสร็จ คาดว่า ภาคอีสานจะใช้มากที่สุด ที่ต้องใช้เงินกันมาก ก็เพราะประชาชนหลายพื้นที่ต้องรับเงินก่อน ถึงจะออกไปเลือก ถึงเป็นผู้สมัครที่รักใคร่ชอบพอกัน ก็ต้องจ่ายเงิน อาจจะจ่ายเป็นตั๋วเด็ก หรือราคาถูกกว่าปกติ แต่ก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่ายเลยจะไม่ออกไปใช้สิทธิ”
ส่วนแรงจูงใจที่กลุ่มทุนใหญ่ต้องจัดสรรเงินส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับนักการเมืองในช่วงเลือกตั้ง นายสังศิต ระบุว่า เป็นเพราะกลุ่มทุนมองเห็นโอกาสว่า ถ้าพรรคที่ตัวเองสนับสนุน ได้เข้าไปมีอำนาจรัฐ จะสามารถแสวงกำไรได้อย่างคุ้มค่า มากกว่าที่ลงทุนไป
“เวลาเป็นรัฐบาล มันได้หมดทุกอย่าง มีสัมปทานเยอะ บริษัทที่มีเจ้าของเป็นรัฐมนตรี ประมูลชนะตลอด ทำให้บริษัทเหล่านี้ เมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว มีผลประกอบมากกว่าที่คาดไว้ 20,000 ล้านบาท นายทุนพอเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็ได้ประโยชน์สามารถครอบครองทรัพยากรของชาติได้ เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ อยู่ในรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ถ้าเขาได้แค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นค่าคอมมิชชันปกติ คนกลุ่มนี้ก็จะได้ประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท จากงบประมาณของรัฐ”
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เว็ปไซต์ www.tcij.com ศูนย์ข้อมูลข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง ได้เปิดเผยรายชื่อกลุ่มทุน ที่ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ในหัวข้อ “เปิดถุงเงินเลือกตั้ง 4 พรรคใหญ่” ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนาพบว่า ผู้บริจาครายใหญ่ของแต่ละพรรคนอกจากจะเป็นเครือข่ายธุรกิจของแกนนำพรรคแล้ว ยังมีเงินทุนจากบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ของประเทศ กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง กลุ่มสุรา ร่วมให้การสนับสนุนพรรคการเมืองด้วย
