ธุรกิจจัดแสดงสินค้ายิ้มออก ต้นปีโตต่อเนื่อง มั่นใจตลาดรวมทั้งปีโตกว่า 20% เผยงานแสดงสินค้าจากประเทศจีน ฉวยประโยชน์จากข้อตกลง AEC ชักแถวจัดงานแสดงสินค้าในไทย หวังเป็นเกตเวย์ต่อยอดประเทศเพื่อนบ้าน ประเดิม 3 งานใหญ่ ครึ่งปีหลัง รวมมูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท
นายพรรธระพี ชินะโชติ ประธาน บริษัท บางกอก เอ็กซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด (BES) อดีตนายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ Thai Exhibition Association : TEA เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจงานแสดงสินค้าช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า จะดีต่อเนื่องถึงสิ้นปี โดยตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังชะลอตัวจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่า ภาครวมอุตสาหกรรมเฉพาะธุรกิจงานแสดงสินค้าปีนี้ จะเติบโตจากปี 2553 มากกว่า 20% ของมูลค่าตลาดกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่หากนับรวมงาน บีโอไอ ที่กำลังจะจัดขึ้นช่วงปลายปีนี้ จะทำให้ตลาดงานแสดงสินค้าปี 2554 เติบโตจากปีก่อนเกือบ 50%
สำหรับมูลค่าตลาดงานแสดงสินค้าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดถดถอยไปเกือบ 45% ของมูลค่าตลาดรวมเมื่อปี 2550 ที่มีอยู่เกือบ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคงต้องใช้เวลา อย่างน้อย 2 ปี หรือราวปี 2555 ตลาดจะมีมูลค่าเท่าช่วงปกติ เพราะงานแสดงสินค้า ต้องใช้เวลาวางแผน 6 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนจัดงาน
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีงานแสดงสินค้าทยอยจัดงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นงานแสดงสินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่ง 6 เดือนนับจากนี้ถึงต้นปีหน้า มีเข้ามาใช้พื้นที่ประเทศไทยถึง 3 งานใหญ่ แต่ละงานมีมูลค่าลงทุน 150-170 ล้านบาท ไม่นับรวมมูลค่าการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นภายในงานและหลังการจัดงาน แต่ละงานใช้พื้นที่จัดแสดง กว่า 2 หมื่นตารางเมตร
ทั้งนี้ มองว่า จีน กำลังใช้ประโยชน์จากข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นำเสนอศักยภาพด้านการผลิต ซึ่งจะมีทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ตามความถนัดของแต่ละมณฑล โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทย ซึ่งเหมาะที่จะเป็นเกตเวย์ในภูมิภาคอาเซียน เป็นเวทีจัดแสดงสินค้า เพราะไทยเป็นศูนย์กลางที่ดีที่สุด จาก 2 ปัจจัย คือ เป็นเกตเวย์เชื่อมต่อไปยังหลายประเทศที่มีค่าแรงงานถูก และมีพื้นที่เชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูง
“ตอนนี้มีหลายงานที่อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่างผู้จัดงานของไทยกับของจีน และหาก 3 งานที่เตรียมจะจัดขึ้นในปีนี้และปีหน้า ประสบความสำเร็จสูง นอกจากจะมีการจัดซ้ำของงานเดิมแล้ว ยังมั่นใจว่าจะมีงานใหม่ๆ ทยอยเข้ามาใช้พื้นที่ประเทศไทยจัดงานอีกอย่างต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่น่าห่วง คือ การเจรจาเป็นการดำเนินงานระหว่างภาคเอกชน ซึ่งต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ คือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ช่วยเป็นผู้ประสานงาน เป็นแกนกลางในการเจรจา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจให้แก่ผู้จัดงานของประเทศจีน และให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี ซึ่งเท่ากับสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยด้วย
นายพรรธระพี กล่าวอีกว่า ประเทศที่ติดต่อจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงคือ จากกลุ่มสหภาพยุโรป และ จากประเทศจีน โดยประเทศเป้าหมายของการจัดงานที่น่าสนใจในภูมิอาเซียน คือ ไทย และ อินโดนีเซีย ข้อได้เปรียบของประเทศไทย คือ ด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งประเทศ ขณะที่อินโดนีเซียมีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนประชากรที่มากถึง 200 ล้านคน
นายพรรธระพี ชินะโชติ ประธาน บริษัท บางกอก เอ็กซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด (BES) อดีตนายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ Thai Exhibition Association : TEA เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจงานแสดงสินค้าช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า จะดีต่อเนื่องถึงสิ้นปี โดยตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังชะลอตัวจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่า ภาครวมอุตสาหกรรมเฉพาะธุรกิจงานแสดงสินค้าปีนี้ จะเติบโตจากปี 2553 มากกว่า 20% ของมูลค่าตลาดกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่หากนับรวมงาน บีโอไอ ที่กำลังจะจัดขึ้นช่วงปลายปีนี้ จะทำให้ตลาดงานแสดงสินค้าปี 2554 เติบโตจากปีก่อนเกือบ 50%
สำหรับมูลค่าตลาดงานแสดงสินค้าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดถดถอยไปเกือบ 45% ของมูลค่าตลาดรวมเมื่อปี 2550 ที่มีอยู่เกือบ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคงต้องใช้เวลา อย่างน้อย 2 ปี หรือราวปี 2555 ตลาดจะมีมูลค่าเท่าช่วงปกติ เพราะงานแสดงสินค้า ต้องใช้เวลาวางแผน 6 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนจัดงาน
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีงานแสดงสินค้าทยอยจัดงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นงานแสดงสินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่ง 6 เดือนนับจากนี้ถึงต้นปีหน้า มีเข้ามาใช้พื้นที่ประเทศไทยถึง 3 งานใหญ่ แต่ละงานมีมูลค่าลงทุน 150-170 ล้านบาท ไม่นับรวมมูลค่าการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นภายในงานและหลังการจัดงาน แต่ละงานใช้พื้นที่จัดแสดง กว่า 2 หมื่นตารางเมตร
ทั้งนี้ มองว่า จีน กำลังใช้ประโยชน์จากข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นำเสนอศักยภาพด้านการผลิต ซึ่งจะมีทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ตามความถนัดของแต่ละมณฑล โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทย ซึ่งเหมาะที่จะเป็นเกตเวย์ในภูมิภาคอาเซียน เป็นเวทีจัดแสดงสินค้า เพราะไทยเป็นศูนย์กลางที่ดีที่สุด จาก 2 ปัจจัย คือ เป็นเกตเวย์เชื่อมต่อไปยังหลายประเทศที่มีค่าแรงงานถูก และมีพื้นที่เชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูง
“ตอนนี้มีหลายงานที่อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่างผู้จัดงานของไทยกับของจีน และหาก 3 งานที่เตรียมจะจัดขึ้นในปีนี้และปีหน้า ประสบความสำเร็จสูง นอกจากจะมีการจัดซ้ำของงานเดิมแล้ว ยังมั่นใจว่าจะมีงานใหม่ๆ ทยอยเข้ามาใช้พื้นที่ประเทศไทยจัดงานอีกอย่างต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่น่าห่วง คือ การเจรจาเป็นการดำเนินงานระหว่างภาคเอกชน ซึ่งต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ คือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ช่วยเป็นผู้ประสานงาน เป็นแกนกลางในการเจรจา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจให้แก่ผู้จัดงานของประเทศจีน และให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี ซึ่งเท่ากับสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยด้วย
นายพรรธระพี กล่าวอีกว่า ประเทศที่ติดต่อจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงคือ จากกลุ่มสหภาพยุโรป และ จากประเทศจีน โดยประเทศเป้าหมายของการจัดงานที่น่าสนใจในภูมิอาเซียน คือ ไทย และ อินโดนีเซีย ข้อได้เปรียบของประเทศไทย คือ ด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งประเทศ ขณะที่อินโดนีเซียมีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนประชากรที่มากถึง 200 ล้านคน
