กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมเรียกผู้ประกอบการรถยนต์และชิ้นส่วนฯหารือ 22 เม.ย.นี้ ประเมินผลกระทบแผ่นดินไหวญี่ปุ่น เพื่อวางแผนรับมือการผลิต เพื่อส่งมอบรถยนต์ให้กับผู้ใช้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส.อ.ท.ชี้ ข่าวดีหากรัฐบาลนี้เลื่อนปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ทั้งระบบ แต่วงในให้จับตา ครม.20 เม.ย.
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า วันที่ 22 เมษายนนี้ นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จะเรียกผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และจักรยานยนต์เข้าหารือ เพื่อประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาแนวทางและมาตรการในการวางแผนผลิตรถยนต์ในประเทศและการส่งออก
“ทางผู้ประกอบการในไทยเองที่ผ่านมา ก็รอคำตอบจากทางญี่ปุ่นที่ภาพไม่ชัดเจนว่าปัญหาจะยืดเยื้อมากน้อยเพียงใด โดยภาพรวมที่ผ่านมาชิ้นส่วนบางรายการอาศัยมีสต๊อกเก่าอยู่จึงใช้วิธีลดการทำงานล่วงเวลาหรือโอที” นายวัลลภ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หากพิจารณาจากตัวเลขของความต้องการ (ดีมานด์) ยังคงขยายตัวทั้งตลาดในประเทศ โดยพิจารณาจากยอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ที่สูงถึง 3.4 หมื่นคัน และตลาดส่งออก ดังนั้น จำเป็นจะต้องเช็กในเรื่องของปริมาณ (ซัปพลาย) ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบต่อตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันไทยส่งออกประมาณ 60% หากชิ้นส่วนฯมีปัญหาภาพรวมแต่ละบริษัทคงจะต้องประเมินว่าจะปรับแผนการผลิตเพื่อการส่งป้อนตลาดใดบ้าง
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่ายรถยนต์ยังคงต้องใช้วิธีการลดโอทีอยู่ เนื่องจากภาพความเสียหายที่ญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจนในขณะนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อประเมินความเสียหายที่แท้จริง
สำหรับกรณีที่ นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ทั้งระบบจะไม่ทันในรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะกลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.ได้เคยทำหนังสือถึงรัฐบาลไปแล้วว่าการปรับโครงสร้างภาษีควรจะหารือกับทุกส่วน เพื่อกำหนดเกณฑ์การปล่อยมลพิษ หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ชัดเจนก่อนไม่ใช่ไปกำหนดเอง
“เราเองเคยบอกรัฐบาลไปแล้วว่าไม่ควรจะเร่งรีบโดยยังมีเวลาที่จะหารือให้ชัดเจนโดยเฉพาะการกำหนดค่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสมว่าควรอยู่ระดับใด” นายศุภรัตน์ กล่าว
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่นั้นยังไม่มีความแน่นอน โดยวงในระบุว่าให้จับตาดูการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 เมษายนนี้ เนื่องจากเมื่อสอบถามไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะได้รับคำตอบที่ไม่ตรงกับกระทรวงการคลัง
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า วันที่ 22 เมษายนนี้ นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จะเรียกผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และจักรยานยนต์เข้าหารือ เพื่อประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาแนวทางและมาตรการในการวางแผนผลิตรถยนต์ในประเทศและการส่งออก
“ทางผู้ประกอบการในไทยเองที่ผ่านมา ก็รอคำตอบจากทางญี่ปุ่นที่ภาพไม่ชัดเจนว่าปัญหาจะยืดเยื้อมากน้อยเพียงใด โดยภาพรวมที่ผ่านมาชิ้นส่วนบางรายการอาศัยมีสต๊อกเก่าอยู่จึงใช้วิธีลดการทำงานล่วงเวลาหรือโอที” นายวัลลภ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หากพิจารณาจากตัวเลขของความต้องการ (ดีมานด์) ยังคงขยายตัวทั้งตลาดในประเทศ โดยพิจารณาจากยอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ที่สูงถึง 3.4 หมื่นคัน และตลาดส่งออก ดังนั้น จำเป็นจะต้องเช็กในเรื่องของปริมาณ (ซัปพลาย) ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบต่อตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันไทยส่งออกประมาณ 60% หากชิ้นส่วนฯมีปัญหาภาพรวมแต่ละบริษัทคงจะต้องประเมินว่าจะปรับแผนการผลิตเพื่อการส่งป้อนตลาดใดบ้าง
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่ายรถยนต์ยังคงต้องใช้วิธีการลดโอทีอยู่ เนื่องจากภาพความเสียหายที่ญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจนในขณะนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อประเมินความเสียหายที่แท้จริง
สำหรับกรณีที่ นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ทั้งระบบจะไม่ทันในรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะกลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.ได้เคยทำหนังสือถึงรัฐบาลไปแล้วว่าการปรับโครงสร้างภาษีควรจะหารือกับทุกส่วน เพื่อกำหนดเกณฑ์การปล่อยมลพิษ หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ชัดเจนก่อนไม่ใช่ไปกำหนดเอง
“เราเองเคยบอกรัฐบาลไปแล้วว่าไม่ควรจะเร่งรีบโดยยังมีเวลาที่จะหารือให้ชัดเจนโดยเฉพาะการกำหนดค่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสมว่าควรอยู่ระดับใด” นายศุภรัตน์ กล่าว
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่นั้นยังไม่มีความแน่นอน โดยวงในระบุว่าให้จับตาดูการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 เมษายนนี้ เนื่องจากเมื่อสอบถามไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะได้รับคำตอบที่ไม่ตรงกับกระทรวงการคลัง