“ไมเนอร์” ปรับทิศรุก แบรนด์เอสปรี รับมือสินค้าจีนเข้าถล่ม เน้นราคาอย่างเดียวไม่รอด ต้องเพิ่มซีอาร์เอ็มรูปแบบใหม่ ขยายช่องทางจำหน่าย เพื่อขยายฐานลูกค้า ประเดิมแคมเปญแรกของเอสปรีทั่วโลกในไทย “Fourth Friday Party” หวังสิ้นปีเติบโต 2 หลัก
นายจตุพล เกียรติระบิล ผู้จัดการธุรกิจ แบรนด์เอสปรี ในเครือไมเนอร์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย เปิดเผยว่า แนวโน้มสินค้าแฟชั่นนำเข้าจากจีนจะมีมากขึ้นรวมทั้งการเกิดขึ้นของศูนย์ค้าส่งของจีน จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ทำให้แฟชั่นทุกแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศที่จำหน่ายในไทยต้องปรับตัวรับมือ ต้องมีความเคลื่อนไหวเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ให้มากที่สุด ไม่ใช่แข่งขันเฉพาะด้านราคาเท่านั้น
ในส่วนของแบรนด์เอสปรีเองก็มีการปรับตัวเช่นกัน ทั้งในด้านของราคาที่เริ่มมีการปรับราคาลงมาช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแล้วกว่า 20-30% และเอสปรีไทยราคาใกล้เคียงกับเอสปรีที่ฮ่องกงที่ถือว่าถูกสุดในโลกแล้ว โดยสินค้านำเข้ามาจากโรงงานในจีนทั้งหมด หรือการทำซีอาร์เอ็มกับสมาชิกและคนทั่วไป เพื่อสร้างประสบการณ์และการเข้าถึงตัวแบรนด์ โดยใช้งบตลาด 3% จากยอดขาย อีกทั้งการขยายช่องทางจำหน่ายเพื่อสร้างโอกาสในการขายมากที่สุด
โดยแผนการขยายสาขาปีนี้ จะเปิดชอปใหม่เพิ่มอีกที่เทอร์มินัลทเวนตี้วัน และเซ็นทรัลเชียงราย ส่วนชอปเดิมจะขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเช่น แฟชั่นไอส์แลนด์จาก80 ตร.ม.เป็น 200 ตร.ม. แหลมทองชลบุรีจาก 80 ตร.ม.เป็น 150 ตร.ม. ซึ่งเปิดไปแล้ว คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจุดขายรวม 93 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่มีประมาณ 90 จุด แบ่งเป็น ชอป 20 แห่ง เอาท์เลท 8 แห่ง ที่เหลือเป็นเคาน์เตอร์ในห้าง
ส่วนการจัดกิจกรรมนั้นจะมีอีเวนต์ใหญ่ทุกไตรมาส ล่าสุดเอสปรีไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวของเอสปรีทั่วโลกที่จัดกิจกรรมซีอาร์เอ็มรูปแบบใหม่เรียกว่า Fourth Friday Party กับสาขาแฟลกชิปสโตร์ที่สยามเซ็นเตอร์แห่งเดียว จัดเฉพาะวันศุกร์ที่สี่ของทุกเดือน เพื่อให้สมาชิกที่มีมากกว่า 30,000 คนหรือคนทั่วไป ได้เข้ามาในร้านเพื่อใช้เป็นสถานที่สังสรรค์ สัมผัสกับความเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ มีบาร์อาหารฟรี เข้ามาร่วมกิจกรรมในร้าน เดือนมีนาคมครั้งแรกนี้จัดคอนเซ็ปท์ เร็กเก้แอนด์โรล โดยนำเอาจุดขายและความเป็นเอสปรีมานำเสนอผ่านแฟชั่นในแบบเร็กเก้แอนด์โรล ส่วนเดือนเมษายนนี้จะเป็นคอนเซ็ปท์ดอกไม้เพื่อรับกับช่วงซัมเมอร์ คาดหวังที่จะขยายฐานกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอีก 20%
นายจตุพล กล่าวว่า จากแผนการดำเนินงานทั้งหมดนี้คาดว่าในปีนี้เอสปรีจะมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก แยกเป็นสัดส่วนสินค้าผู้หญิง 70% และสินค้าผู้ชาย 30% ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มียอดขายติดอันดับท็อปทรีในเอเชียรองจากฮ่องกงของเอสปรีก็ว่าได้ โดยคาดว่าสาขาสยามเซ็นเตอร์ที่เป็นแฟลกชิบสโตร์นี้หลังปรับลุคใหม่เมื่อปีที่แล้วมียอดขายเฉพาะสาขานี้เติบโตถึง 50%
นายจตุพล เกียรติระบิล ผู้จัดการธุรกิจ แบรนด์เอสปรี ในเครือไมเนอร์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย เปิดเผยว่า แนวโน้มสินค้าแฟชั่นนำเข้าจากจีนจะมีมากขึ้นรวมทั้งการเกิดขึ้นของศูนย์ค้าส่งของจีน จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ทำให้แฟชั่นทุกแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศที่จำหน่ายในไทยต้องปรับตัวรับมือ ต้องมีความเคลื่อนไหวเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ให้มากที่สุด ไม่ใช่แข่งขันเฉพาะด้านราคาเท่านั้น
ในส่วนของแบรนด์เอสปรีเองก็มีการปรับตัวเช่นกัน ทั้งในด้านของราคาที่เริ่มมีการปรับราคาลงมาช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแล้วกว่า 20-30% และเอสปรีไทยราคาใกล้เคียงกับเอสปรีที่ฮ่องกงที่ถือว่าถูกสุดในโลกแล้ว โดยสินค้านำเข้ามาจากโรงงานในจีนทั้งหมด หรือการทำซีอาร์เอ็มกับสมาชิกและคนทั่วไป เพื่อสร้างประสบการณ์และการเข้าถึงตัวแบรนด์ โดยใช้งบตลาด 3% จากยอดขาย อีกทั้งการขยายช่องทางจำหน่ายเพื่อสร้างโอกาสในการขายมากที่สุด
โดยแผนการขยายสาขาปีนี้ จะเปิดชอปใหม่เพิ่มอีกที่เทอร์มินัลทเวนตี้วัน และเซ็นทรัลเชียงราย ส่วนชอปเดิมจะขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเช่น แฟชั่นไอส์แลนด์จาก80 ตร.ม.เป็น 200 ตร.ม. แหลมทองชลบุรีจาก 80 ตร.ม.เป็น 150 ตร.ม. ซึ่งเปิดไปแล้ว คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจุดขายรวม 93 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่มีประมาณ 90 จุด แบ่งเป็น ชอป 20 แห่ง เอาท์เลท 8 แห่ง ที่เหลือเป็นเคาน์เตอร์ในห้าง
ส่วนการจัดกิจกรรมนั้นจะมีอีเวนต์ใหญ่ทุกไตรมาส ล่าสุดเอสปรีไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวของเอสปรีทั่วโลกที่จัดกิจกรรมซีอาร์เอ็มรูปแบบใหม่เรียกว่า Fourth Friday Party กับสาขาแฟลกชิปสโตร์ที่สยามเซ็นเตอร์แห่งเดียว จัดเฉพาะวันศุกร์ที่สี่ของทุกเดือน เพื่อให้สมาชิกที่มีมากกว่า 30,000 คนหรือคนทั่วไป ได้เข้ามาในร้านเพื่อใช้เป็นสถานที่สังสรรค์ สัมผัสกับความเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ มีบาร์อาหารฟรี เข้ามาร่วมกิจกรรมในร้าน เดือนมีนาคมครั้งแรกนี้จัดคอนเซ็ปท์ เร็กเก้แอนด์โรล โดยนำเอาจุดขายและความเป็นเอสปรีมานำเสนอผ่านแฟชั่นในแบบเร็กเก้แอนด์โรล ส่วนเดือนเมษายนนี้จะเป็นคอนเซ็ปท์ดอกไม้เพื่อรับกับช่วงซัมเมอร์ คาดหวังที่จะขยายฐานกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอีก 20%
นายจตุพล กล่าวว่า จากแผนการดำเนินงานทั้งหมดนี้คาดว่าในปีนี้เอสปรีจะมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก แยกเป็นสัดส่วนสินค้าผู้หญิง 70% และสินค้าผู้ชาย 30% ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มียอดขายติดอันดับท็อปทรีในเอเชียรองจากฮ่องกงของเอสปรีก็ว่าได้ โดยคาดว่าสาขาสยามเซ็นเตอร์ที่เป็นแฟลกชิบสโตร์นี้หลังปรับลุคใหม่เมื่อปีที่แล้วมียอดขายเฉพาะสาขานี้เติบโตถึง 50%
