คลื่นยักษ์สึนามิสะเทือนไทย! “นิสสัน” เผยมีสต๊อกชิ้นส่วนจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะอีโคคาร์คันเก่ง “นิสสัน มาร์ช” รองรับการผลิตได้นานสุดถึงสิ้นเดือนมีนาคม หรือต้นเมษายนนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับการส่งออกมาร์ชไปญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบแน่นอน จนต้องติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน หากยืดเยื้อต้องปรับแผนใหม่หมด ท่ามกลางภาพรวมธุรกิจในไทยที่กำลังไปได้สวย ถึงกับร้องขอภาครัฐยกเว้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า “นิสสัน ลีฟ” เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางใช้รถและผลิตของภูมิภาค
นายโทรุ ฮาเซกาวา ประธานกรรมการ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ว่า จนส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์นิสสันและผู้ผลิตชิ้นส่วนในญี่ปุ่นบางแห่ง ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวนั้น ถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุผลกระทบชัดเจนว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องติดตามและรอดูสถานการณ์วันต่อวัน ไม่ว่าจะเรื่องของการผลิต หรือชิ้นส่วนที่จะนำมาผลิตรถ ทั้งในญี่ปุ่นและประเทศไทยเอง
“อย่างนิสสัน มาร์ช แม้ส่วนใหญ่จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 87% และอีกจำนวน 8% มาจากจีนและอินเดีย แต่ก็มีนำเข้าจากญี่ปุ่นอยู่ 5% โดยสามารถรองรับการผลิตได้อีก 2-3 สัปดาห์ ประมาณถึงสิ้นเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย คงต้องมาดูว่าจะปรับแผนอย่างไร ซึ่งปกติเราจะมีแผนสำรองไว้อยู่แล้ว อาจจะนำเข้าชิ้นส่วนจากที่อื่นมาทดแทน แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ ต้องติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด”
ส่วนการส่งออกนิสสัน มาร์ช จากไทยไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งแต่เริ่มส่งออกเมื่อ 8 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนมากถึง 35,000 คัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ และยังมีปัญหาเรื่องโรงงานนิวเคลียร์อีก แน่นอนคงต้องได้รับผลกระทบบ้าง ตรงนี้นิสสันต้องมาดูว่าจะมีการปรับแผนอย่างไรเช่นกัน อาจจะเปลี่ยนไปส่งออกตลาดประเทศอื่นแทน ซึ่งคงต้องมาดูกันในรายละเอียดอีกที เมื่อทราบผลกระทบอย่างชัดเจน
นายฮาเซกาวา กล่าวว่า ภาพรวมทางธุรกิจของนิสสันในประเทศไทย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนปฏิรูปเปลี่ยนแปลง 2555 ตามที่ประกาศไว้เมื่อปี 2552 โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของนิสสันในไทย จากเดิมที่มีอยู่ 5% เพิ่มเป็นสองเท่า หรือ 10% ซึ่งในปีที่งบประมาณ 2553 ที่จะจบลงในเดือนมีนาคมนี้ คาดว่า จะมียอดขายรวม 62,500 คัน หรือมีส่วนแบ่งทางการ 7.4% สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 80%
“มั่นใจว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนปฏิรูปการเปลี่ยนแปลง 2555 โดยในปีงบประมาณ 2554 คาดว่า นิสสันจะมียอดขาย 76,500 คัน หรือมีแชร์ 9% โดยใช้กลยุทธ์การขาย การตลาด และการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนำเสนอเทคโนโลยีก้าวล้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างการเปิดตัว นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์คันแรกในไทย” นายฮาเซกาวา กล่าวและว่า
ทั้งนี้ การนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นิสสันมีเป้าหมายชัดเจนที่จะลดมลพิษไอเสียเป็น 0% ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัว “นิสสัน ลีฟ” รถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้เปิดตัวจำหน่ายในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาไปแล้ว โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนลูกค้าที่ซื้อรถไฟฟ้า 780,000 เยน ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่สูงสุด 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายฮาเซกาวา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยนิสสันต้องการให้เกิดการใช้รถพลังงานสะอาดนี้เช่นกัน จึงได้มีการพูดคุยกับรัฐบาล และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของรถพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในด้านการใช้งานหรือการผลิต จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษี หรือโครงสร้างพื้นฐานจุดให้บริการชาร์จไฟฟ้าให้กับรถ
“การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางของรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค อย่างน้อยรัฐบาลจะต้องสนับสนุนภาษีเทียบเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในมาเลเซียจะมีภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต 0% หรืออินโดนีเซียที่มีภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 0% และภาษีสรรพสามิต 40% ขณะที่ไทยปัจจุบันภาษีนำเข้า 80% และภาษีสรรพสามิต 10%”
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า นิสสันจึงต้องทำความเข้าใจกับภาครัฐและประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงประโยชน์ของรถไฟฟ้า ว่า สามารถช่วยลดปัญหาโลกร้อน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเจรจากับภาครัฐให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ และวางโครงสร้างพื้นฐาน อย่างจุดชาร์จไฟตามสถานที่ต่างๆ เหมือนกับปั๊ม โดยตรงนี้จะต้องทำคู่กันไปกับภาครัฐ
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ จะถูกนำมาเผยโฉมในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกที่ถูกผลิตมาจำหน่ายในตลาดทั่วไป ปัจจุบันมียอดจองมากกว่า 27,000 คันจากทั่วโลก ซึ่งประจุไฟเต็มครั้งหนึ่งสามารถวิ่งได้ไกล 160-200 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการชาร์จประจุไฟฟ้าเต็มใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมง กับไฟฟ้าขนาด 200V และเพื่อเป็นประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจ จึงเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดสอบขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อีกด้วย
นายโทรุ ฮาเซกาวา ประธานกรรมการ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ว่า จนส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์นิสสันและผู้ผลิตชิ้นส่วนในญี่ปุ่นบางแห่ง ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวนั้น ถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุผลกระทบชัดเจนว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องติดตามและรอดูสถานการณ์วันต่อวัน ไม่ว่าจะเรื่องของการผลิต หรือชิ้นส่วนที่จะนำมาผลิตรถ ทั้งในญี่ปุ่นและประเทศไทยเอง
“อย่างนิสสัน มาร์ช แม้ส่วนใหญ่จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 87% และอีกจำนวน 8% มาจากจีนและอินเดีย แต่ก็มีนำเข้าจากญี่ปุ่นอยู่ 5% โดยสามารถรองรับการผลิตได้อีก 2-3 สัปดาห์ ประมาณถึงสิ้นเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย คงต้องมาดูว่าจะปรับแผนอย่างไร ซึ่งปกติเราจะมีแผนสำรองไว้อยู่แล้ว อาจจะนำเข้าชิ้นส่วนจากที่อื่นมาทดแทน แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ ต้องติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด”
ส่วนการส่งออกนิสสัน มาร์ช จากไทยไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งแต่เริ่มส่งออกเมื่อ 8 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนมากถึง 35,000 คัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ และยังมีปัญหาเรื่องโรงงานนิวเคลียร์อีก แน่นอนคงต้องได้รับผลกระทบบ้าง ตรงนี้นิสสันต้องมาดูว่าจะมีการปรับแผนอย่างไรเช่นกัน อาจจะเปลี่ยนไปส่งออกตลาดประเทศอื่นแทน ซึ่งคงต้องมาดูกันในรายละเอียดอีกที เมื่อทราบผลกระทบอย่างชัดเจน
นายฮาเซกาวา กล่าวว่า ภาพรวมทางธุรกิจของนิสสันในประเทศไทย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนปฏิรูปเปลี่ยนแปลง 2555 ตามที่ประกาศไว้เมื่อปี 2552 โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของนิสสันในไทย จากเดิมที่มีอยู่ 5% เพิ่มเป็นสองเท่า หรือ 10% ซึ่งในปีที่งบประมาณ 2553 ที่จะจบลงในเดือนมีนาคมนี้ คาดว่า จะมียอดขายรวม 62,500 คัน หรือมีส่วนแบ่งทางการ 7.4% สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 80%
“มั่นใจว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนปฏิรูปการเปลี่ยนแปลง 2555 โดยในปีงบประมาณ 2554 คาดว่า นิสสันจะมียอดขาย 76,500 คัน หรือมีแชร์ 9% โดยใช้กลยุทธ์การขาย การตลาด และการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนำเสนอเทคโนโลยีก้าวล้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างการเปิดตัว นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์คันแรกในไทย” นายฮาเซกาวา กล่าวและว่า
ทั้งนี้ การนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นิสสันมีเป้าหมายชัดเจนที่จะลดมลพิษไอเสียเป็น 0% ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัว “นิสสัน ลีฟ” รถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้เปิดตัวจำหน่ายในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาไปแล้ว โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนลูกค้าที่ซื้อรถไฟฟ้า 780,000 เยน ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่สูงสุด 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายฮาเซกาวา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยนิสสันต้องการให้เกิดการใช้รถพลังงานสะอาดนี้เช่นกัน จึงได้มีการพูดคุยกับรัฐบาล และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของรถพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในด้านการใช้งานหรือการผลิต จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษี หรือโครงสร้างพื้นฐานจุดให้บริการชาร์จไฟฟ้าให้กับรถ
“การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางของรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค อย่างน้อยรัฐบาลจะต้องสนับสนุนภาษีเทียบเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในมาเลเซียจะมีภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต 0% หรืออินโดนีเซียที่มีภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 0% และภาษีสรรพสามิต 40% ขณะที่ไทยปัจจุบันภาษีนำเข้า 80% และภาษีสรรพสามิต 10%”
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า นิสสันจึงต้องทำความเข้าใจกับภาครัฐและประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงประโยชน์ของรถไฟฟ้า ว่า สามารถช่วยลดปัญหาโลกร้อน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเจรจากับภาครัฐให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ และวางโครงสร้างพื้นฐาน อย่างจุดชาร์จไฟตามสถานที่ต่างๆ เหมือนกับปั๊ม โดยตรงนี้จะต้องทำคู่กันไปกับภาครัฐ
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ จะถูกนำมาเผยโฉมในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกที่ถูกผลิตมาจำหน่ายในตลาดทั่วไป ปัจจุบันมียอดจองมากกว่า 27,000 คันจากทั่วโลก ซึ่งประจุไฟเต็มครั้งหนึ่งสามารถวิ่งได้ไกล 160-200 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการชาร์จประจุไฟฟ้าเต็มใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมง กับไฟฟ้าขนาด 200V และเพื่อเป็นประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจ จึงเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดสอบขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อีกด้วย