เซ็นทรัลรีเทล จ่อรุกธุรกิจประกัน พร้อมทุ่มเงินลงทุนรวมปีนี้ที่ 9.8 พันล้านบาท หวังสรุปดีลควบรวมกิจการอย่างน้อย 1 ดีล กำเงิน 3,000 ล้านบาทลุยควบรวม
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจใหม่ต่อเนื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจค้าปลีเดิม โดยเฉพาะขณะนี้ให้ความสนใจกับเรี่องของธุรกิจไฟแนนซ์เชียลเซอร์วิส หรือ การบริการธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันก็มีบริการอยู่แล้วเช่น บัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด เป็นต้น
“ปัจจุบันนี้ธุรกิจรีเทลกับการเงิน เข้ามาอยู่ใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในอดีตแบงก์ก็มีการตั้งอยู่นอกห้าง แต่วันนี้เข้ามาตั้งในห้างกันหมด แต่ที่เราดูตอนนี้ก็คือ ธุรกิจประกันภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับรีเทลและการเงินเหมือนกัน โดยสังเกตุได้ว่า ช่วง 2-3 ปีมานี้ ธุรกิจประกันภัยกับแบงก์รวมกันมากขึ้น ตอนนี้ซีอาร์ซีมองว่า ธุรกิจรีเทลจะช่วยขายประกันให้ด้วย เพราะเป็นธุรกิจที่มีอนาคตอีกยาวไกล ต่างประเทศการมีประกันภัยประกันชีวิตเป็นเรื่องปรกติแต่ของไทยเรายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็มีอนาคต”
ผู้สื่อข่าวรายรานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม นายทศ ยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจประกันภัยที่ว่านั้น จะเป็นรูปแบบอะไร แต่น่าสังเกตุว่า ปีนี้กลุ่มซีอาร์ซี คาดว่าน่าจะมีการสรุปการเจรจาเรื่องการควบรวมกิจการได้อย่างน้อย 1 ดีล ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะมีธุรกิจประกันรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ หลังจากที่ตั้งหน่วยงานควบรวมกิจการนี้มาเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปดีลควบรวมกิจการได้เลย
สำหรับการลงทุนหลักๆในปี 2553 นี้ จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 9,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1. งบการเปิดสาขาใหม่และการซื้อแลนด์แบงก์ ประมาณ 4,800 ล้านบาท สาขาใหม่เช่น โครงการพัฒนาที่ดินสถานทูตอังกฤษเริ่มก่อสร้างปีนี้ ใช้เวลา 3 ปี โรบินสันสาขาตรัง ร้านไทวัสดุ ส่วนต่างประเทศโดยเฉพาะที่จีนจะเปิดห้างเซ็นทรัลหางโจวเดือนเมษายนนี้ ส่วนเมืองอื่นๆที่มีศักยภาพคือ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เสิ่นหยาง เทียนจิน กวางซู และซูโจว
2. งบ 1,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงสาขาเก่า จะเน้นหนักที่ห้างเซ็นทรัลสาขาลาดพร้าว สาขาปิ่นเกล้า ชิดลม ภูเก็ต และโรบินสันหาดใหญ่
3. งบ 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการควบรวมกิจการ ซึ่งปีที่แล้วไม่สามารถปิดดีลได้ แต่คาดว่าปีนี้น่าจะมีอย่างน้อย 1-2 ดีลที่สรุปได้ ซึ่งขณะนี้อย่ะหว่างการเจรจาไม่น้อยกว่า 4 ดีล อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีงบประมาณสูงถึง 30,000 ล้านบาท รองรับหากจำเป็นต้องใช้
4. งบ 500 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนระบบไอที
ส่วนผลประกอบการปี 2552 ของซีอาร์ซีนั้น นายทศเปิดเผยว่า ซีอาร์ซีมีรายได้รวม 92,310 ล้านบาท เติบโต 8% จากการเปิดสาขาใหม่เช่นที่ พัทยา ชลบุรี ขอนแก่น ไทวัสดุ เป็นต้น หากไม่มีสาขาใหม่ก็ไม่เติบดต ซึ่งน่าสนใจว่า ปีที่แล้ว ไตรมาส1 เติบโต 3% ไตรมาส2 เติบโต 5.75% ไตรมาส3เติบโต 7.8% และไตรมาส4เติบโต 12.6% แต่คาดว่าในปีนี้ไตรมาส1-2 จะเติบโตดีกว่า เพราพบว่า สองเดือนแรกปีนี้ เติบโต 14% แล้ว ขณะที่ไตรมาส3-4คงโตน้อยลง
โดยเมื่อสิ้นปีที่แล้วซีอาร์ซีมีสาขาของธุรกิจทุกหน่วยรวมกัน 417 สาขา เพิ่มขึ้น 8% รวมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งปีที่แล้วลงทุนทั้งหมด 3,950 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 คาดว่าจะมีสาขาเปิดใหม่รวมกับสาขาเดิมเป็น 473 สาขา
สำหรับปี 2553 คาดว่าซีอาร์ซีจะมีรายได้รวมประมาณ 97,110 ล้านบาท เติบโต 5.2% อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการปิดสาขาลาดพร้าวเพื่อปรับปรุงนาน 6 เดือนคาดว่าจะเติบโต 12%
สำหรับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายทศให้ความเห็นว่า ความไม่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว เลวร้ายที่สุดก็คือเดือนเมษายนปีที่แล้วก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิด ถ้าหากเราไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่เลิกขัดแย้งกัน อีก 10 ปีก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ได้ข่าวว่าทัวร์ริสต์เริ่มกังวลอีกแล้ว เพราะว่า จะใกล้ช่วงที่ไม่แน่นอนอีกแล้ว เพราะจะมีการชุมนุมใหญ่เร็วๆนี้ ส่วนเรื่องมาตรการความปลอดภัยในช่วงที่มีการวางระเบิดบ่อยช่วงนี้ นายทศมองว่า เป็นเรื่องที่เซ็นทรัลให้ความสำคัญและหามาตรการมารองรับอยู่แล้ว เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เกิดขึ้น ส่วนธุรกิจถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่รุนแรงธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจใหม่ต่อเนื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจค้าปลีเดิม โดยเฉพาะขณะนี้ให้ความสนใจกับเรี่องของธุรกิจไฟแนนซ์เชียลเซอร์วิส หรือ การบริการธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันก็มีบริการอยู่แล้วเช่น บัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด เป็นต้น
“ปัจจุบันนี้ธุรกิจรีเทลกับการเงิน เข้ามาอยู่ใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในอดีตแบงก์ก็มีการตั้งอยู่นอกห้าง แต่วันนี้เข้ามาตั้งในห้างกันหมด แต่ที่เราดูตอนนี้ก็คือ ธุรกิจประกันภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับรีเทลและการเงินเหมือนกัน โดยสังเกตุได้ว่า ช่วง 2-3 ปีมานี้ ธุรกิจประกันภัยกับแบงก์รวมกันมากขึ้น ตอนนี้ซีอาร์ซีมองว่า ธุรกิจรีเทลจะช่วยขายประกันให้ด้วย เพราะเป็นธุรกิจที่มีอนาคตอีกยาวไกล ต่างประเทศการมีประกันภัยประกันชีวิตเป็นเรื่องปรกติแต่ของไทยเรายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็มีอนาคต”
ผู้สื่อข่าวรายรานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม นายทศ ยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจประกันภัยที่ว่านั้น จะเป็นรูปแบบอะไร แต่น่าสังเกตุว่า ปีนี้กลุ่มซีอาร์ซี คาดว่าน่าจะมีการสรุปการเจรจาเรื่องการควบรวมกิจการได้อย่างน้อย 1 ดีล ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะมีธุรกิจประกันรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ หลังจากที่ตั้งหน่วยงานควบรวมกิจการนี้มาเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปดีลควบรวมกิจการได้เลย
สำหรับการลงทุนหลักๆในปี 2553 นี้ จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 9,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1. งบการเปิดสาขาใหม่และการซื้อแลนด์แบงก์ ประมาณ 4,800 ล้านบาท สาขาใหม่เช่น โครงการพัฒนาที่ดินสถานทูตอังกฤษเริ่มก่อสร้างปีนี้ ใช้เวลา 3 ปี โรบินสันสาขาตรัง ร้านไทวัสดุ ส่วนต่างประเทศโดยเฉพาะที่จีนจะเปิดห้างเซ็นทรัลหางโจวเดือนเมษายนนี้ ส่วนเมืองอื่นๆที่มีศักยภาพคือ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เสิ่นหยาง เทียนจิน กวางซู และซูโจว
2. งบ 1,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงสาขาเก่า จะเน้นหนักที่ห้างเซ็นทรัลสาขาลาดพร้าว สาขาปิ่นเกล้า ชิดลม ภูเก็ต และโรบินสันหาดใหญ่
3. งบ 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการควบรวมกิจการ ซึ่งปีที่แล้วไม่สามารถปิดดีลได้ แต่คาดว่าปีนี้น่าจะมีอย่างน้อย 1-2 ดีลที่สรุปได้ ซึ่งขณะนี้อย่ะหว่างการเจรจาไม่น้อยกว่า 4 ดีล อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีงบประมาณสูงถึง 30,000 ล้านบาท รองรับหากจำเป็นต้องใช้
4. งบ 500 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนระบบไอที
ส่วนผลประกอบการปี 2552 ของซีอาร์ซีนั้น นายทศเปิดเผยว่า ซีอาร์ซีมีรายได้รวม 92,310 ล้านบาท เติบโต 8% จากการเปิดสาขาใหม่เช่นที่ พัทยา ชลบุรี ขอนแก่น ไทวัสดุ เป็นต้น หากไม่มีสาขาใหม่ก็ไม่เติบดต ซึ่งน่าสนใจว่า ปีที่แล้ว ไตรมาส1 เติบโต 3% ไตรมาส2 เติบโต 5.75% ไตรมาส3เติบโต 7.8% และไตรมาส4เติบโต 12.6% แต่คาดว่าในปีนี้ไตรมาส1-2 จะเติบโตดีกว่า เพราพบว่า สองเดือนแรกปีนี้ เติบโต 14% แล้ว ขณะที่ไตรมาส3-4คงโตน้อยลง
โดยเมื่อสิ้นปีที่แล้วซีอาร์ซีมีสาขาของธุรกิจทุกหน่วยรวมกัน 417 สาขา เพิ่มขึ้น 8% รวมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งปีที่แล้วลงทุนทั้งหมด 3,950 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 คาดว่าจะมีสาขาเปิดใหม่รวมกับสาขาเดิมเป็น 473 สาขา
สำหรับปี 2553 คาดว่าซีอาร์ซีจะมีรายได้รวมประมาณ 97,110 ล้านบาท เติบโต 5.2% อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการปิดสาขาลาดพร้าวเพื่อปรับปรุงนาน 6 เดือนคาดว่าจะเติบโต 12%
สำหรับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายทศให้ความเห็นว่า ความไม่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว เลวร้ายที่สุดก็คือเดือนเมษายนปีที่แล้วก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิด ถ้าหากเราไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่เลิกขัดแย้งกัน อีก 10 ปีก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ได้ข่าวว่าทัวร์ริสต์เริ่มกังวลอีกแล้ว เพราะว่า จะใกล้ช่วงที่ไม่แน่นอนอีกแล้ว เพราะจะมีการชุมนุมใหญ่เร็วๆนี้ ส่วนเรื่องมาตรการความปลอดภัยในช่วงที่มีการวางระเบิดบ่อยช่วงนี้ นายทศมองว่า เป็นเรื่องที่เซ็นทรัลให้ความสำคัญและหามาตรการมารองรับอยู่แล้ว เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เกิดขึ้น ส่วนธุรกิจถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่รุนแรงธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้