กรณีการต่อสัญญาการดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีช่อง 3 ระหว่าง บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ที่ยังเป็นประเด็นร้อนอยู่ทุกวันนี้และยังไม่มีบทสรุปว่าจะออกมาในรูปการเช่นใด
การต่อสัญญาการดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีช่อง 3 ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรจบลงง่ายๆ แม้ทั้งสองฝ่ายคือ บมจ.อสมทกับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด จะตกลงกันได้แล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่า บมจ.อสมท โดย คณะกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จะมีหนังสือที่ นร 6153/3485 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ถึง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ตาม โดยแจ้งว่า ในการประชุมครั้งที่ 19/2552 วันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุมชัน 6 อาคารสำนักงาน บมจ.อสมท มีมติรับหลักการในข้อเสนอของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ในการจ่ายผลประโยชน์ 405 ล้านบาท ให้กับ บมจ.อสมท ในคราวเดียว และจะได้พิจารณาในเรื่องแนวทางปฎิบัติตลอดทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายละเอียด ในสัญญาสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอดังกล่าว และจะได้แจ้งให้บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินการให้เป็นผลต่อไป
แต่หากพิจารณาจากหนังสือฉบับดังกล่าวนี้ให้ดีแล้ว ค่อนข้างที่จะคลุมเครือเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เนื่องจากว่า เป็นการสรุปเพียงแค่ประเด็นสั้นๆให้กับทาง ตลาดหลักทรัพย์ฯรับทราบแค่เงินที่จะได้รับเพียงเท่านั้นเอง แต่กลับไม่มีรายละเอียดที่มากไปกว่านั้น ทั้งในเรื่องข้อตกลงต่างๆที่มีกันทั้งสองฝ่าย หรือเงื่อนไขต่างๆตลอดจน เกณฑ์ในการวัดว่า ทำไมต้องเป็น 405 ล้านบาท ซึ่งทำไม บอร์ดอสมท จึงพอใจกับเงินก้อนนี้ด้วย ซึ่งเป็นเงินต่างหากที่เพิ่มขึ้นมาจาก ค่าตอบแทนในสัญญาเดิมที่ระบุว่าต้องจ่ายให้อสมท 2,002 ล้านบาท
แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า บอร์ดอสมท ต้องตอบคำถาม ผู้ถือหุ้น และประชาชนทั่วไปให้ได้เพื่อความโปร่งใสในการบริหารอสมท ว่า ทำไมถึงยอมรับข้อเสนอวงเงินพิเศษที่บริษัทบางกอกฯยื่นเสนอให้แค่ 405 ล้านบาท เพื่อแลกกับการต่อสัญญาช่อง 3 อีก 10 ปี ซึ่งสัญญาเดิมจะหมดปลายเดือนมีนาคม 2553 นี้
ตัวของ ดร.สุรพล และบอร์ดทุกคน ไม่รู้เลยหรือไงว่า ในแต่ละปี บริษัทบางกอกฯในกลุ่มบีอีซีเวิลด์ ภายใต้การบริหารของ นายประวิทย์ มาลีนนท์ สูบเม็ดเงินรายได้จาก ช่อง 3 ไปมากโขแค่ไหน กับการที่ให้ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มขึ้นเพียง 405 ล้านบาทเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเงินของตระกูลมาลีนนท์ก็ไม่ผิด
อีกทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่และรายย่อยทั้งหลายก็อาจจะยังไม่มีใครรับทราบรายละเอียดที่ชัดเจน เหมือนกับว่าเป็นการรับรู้กันเองเพียงแค่ บอร์ดอสมท กับทางฝ่าย บริษัทบางกอกฯ เท่านั้น
ขณะที่ประเด็นของเงิน 405 ล้านบาทนั้น เป็นที่ผิดปรกติอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ดอสมท หรือแม้แต่ บอร์ดบางคน รวมทั้ง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเอง ก็ดูเหมือนว่า จะพูดไปในทำนองเดียวกันว่า ค่าตอบแทนที่ บางกอกฯจะต้องจ่ายให้กับ อสมท ในการต่อสัญญาออกไปอีก 10 ปี ต้องมากกว่าที่เสนอไว้ในสัญญาเดิมทีระบุไว้ 2,002 กว่าล้านบาท
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องไม่ต่ำกว่า ที่ทรูวิชั่นส์จ่ายให้กับ อสมท จำนวน 6.5% ต่อปี ในระหว่างที่รับสัมปทานเคเบิลทีวี
ทุกคนพูดกันแบบขึงขัง หรือว่าเป็นเพียงแค่ บทบาทที่ต้องเล่นกันไป
ถ้ายังจำกันได้ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด อสมท เคยกล่าวเอาไว้ว่า ตัวเลขค่าตอบแทนที่ทางบีอีซี เวิลด์ เสนอมาแค่ 2,002 ล้านบาทที่เป็นตัวเลขในสัญญาเดิมนั้น ทางบอร์ด อสมท แย้งไปว่า น้อยเกินไป ควรจะต้องมากกว่านี้ และขอให้ทางลบางกอกฯพิจารณาตัวเลขใหม่อีกครั้ง เพราะว่าอสมท ต้องการเพียงแค่ให้บริษัทบางกอกฯ คืนความชอบธรรมให้กับ อสมท บ้าง
ขณะที่ช่วงที่ผ่านมา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ดูออกจะเอาจริงเอาจัง กับเรื่องตัวเลขค่าตอบแทนที่บริษัทบางกอกฯต้องจ่ายให้กับอสมท
และพูดย้ำเสมอว่า ค่าตอบแทนที่บริษัทบางกอกฯตอ้งจ่ยาให้ อสมท จากการที่จะต่อสัญญาอีก 10 ปี นั้น ไม่ควรที่จะจ่ายต่ำกว่าที่ทรูวิชั่นส์ จ่ายค่าตอบแทนให้ทาง อสมท ต่ออปีที่ 650 ล้านบาท เพราะเฉลี่ยแล้วต่อปี ช่อง 3 จ่ายเพียงปีละประมาณ 200 ล้านบาทนั้น ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับทรูวิชั่นส์ เพราะว่าช่อง 3 สร้างรายได้ให้กับบางกอกฯมากกว่าอักโขเมื่อเทียบกับทรูวิชั่นส์
ทว่า ความขึงขัง เอาจริงเอาจัง กลับกลายมาเป็นการจบลงแบบกลับลำกะทันหัน ด้วยการยอมรับเศษเงินแค่ 400 กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง