บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่าในปี 2553 นี้จะมีเม็ดเงินสะพัดทั่วกรุงเทพฯในช่วงวันวาเลนไทน์ประมาณ 1,020 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาแล้วเม็ดเงินสะพัดในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 วันวาเลนไทน์ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งนับว่าเอื้อต่อโอกาสที่ธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์จะสร้างเม็ดเงินสะพัดได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมพิเศษ เช่น การรับประทานอาหาร การชมภาพยนตร์ และช็อปปิ้งร่วมกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสำรวจพบว่าดอกกุหลาบก็เป็นสินค้าอันดับหนึ่งที่จะถูกเลือกซื้อ รองลงมาคือ การใช้เวลาร่วมกันในการทำกิจกรรมต่างๆในช่วงวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารนอกบ้าน ช็อปปิ้ง และชมภาพยนตร์ โดยค่าใช้จ่ายต่างๆแยกเป็นดังนี้
1.ค่าใช้จ่ายในการซื้อดอกไม้ ในช่วงวันวาเลนไทน์ดอกกุหลาบนับว่าเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมทุกปี โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีแดงและสีขาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสำรวจพบว่าในปีนี้บรรดาผู้ที่ต้องการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นตั้งงบประมาณในการซื้อดอกกุหลาบเฉลี่ย 257 บาทต่อคน คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้วาเลนไทน์ถึง 270 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 แม้ว่าราคาดอกกุหลาบในปีนี้จะมีแนวโน้มแพงขึ้น
2.ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอื่นๆไม่รวมดอกไม้ แยกเป็น ดังนี้ 2.1ค่าใช้จ่ายในการซื้อช็อคโกแล็ต พบว่าในปีนี้คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตั้งงบประมาณในการซื้อช็อคโกแล็ตเฉลี่ย 292 บาทต่อคน คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินสะพัดถึง 310 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2552 นั้นเม็ดเงินสะพัดในการซื้อช็อคโกแล็ตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3
2.2 ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอื่นๆ สินค้ายอดฮิตคือ การ์ดวาเลนไทน์ ของประดิษฐ์ขึ้นเอง สินค้ากิ๊ฟช็อป โดยเฉพาะตุ๊กตาหมีและเสื้อผ้า และขนม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่าในปีนี้ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอื่นๆก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัด 210 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
3.ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมพิเศษอื่นๆ นอกจากการซื้อสินค้าเพื่อมอบให้แก่กันในช่วงวันวาเลนไทน์ เท่ากับ 270 บาทต่อคน สร้างเม็ดเงินสะพัด 230 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 240 บาทต่อคน และสร้างเม็ดเงินสะพัดเพียง 210 ล้านบาท