“เมอร์เซเดส-เบนซ์” ผู้นำตลาดรถหรู ไม่กล้าฟันธง! ตลาดสดใส เหตุปัจจัยผันผวนยังมีอยู่ โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีปัญหาการเมือง และค่าเงินบาทแข็ง อาจจะพลิกจากบวกเป็นลบได้ทุกเมื่อ ประกาศงัดหลากกลยุทธ์รับมือ Triple Trust หวังสร้างความเชื่อมั่น และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รุ่น อี-คลาส โฉมใหม่ เวอร์ชั่นประกอบในประเทศ และเอส-คลาส ใหม่ ราคา 7.799-10.999 ล้านบาท
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมาแม้ภาพรวมตลาดรถยนต์จะตกต่ำจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นอีกปีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยประสบความสำเร็จ โดยมียอดขายรถยนต์เติบโตเป็นบวก หรือทำได้ถึง 3,850 คัน และรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดหรูไว้ได้เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน จากการบริหารจัดการด้านสต็อกและราคาอย่างมีประสิทธิภาพ
“ในปี 2553 นี้ แม้ทุกฝ่ายจะมองภาพรวมตลาดรถยนต์เป็นบวกหมด แต่สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังไม่มั่นใจมากนัก เพราะยังมีความไม่ชัดเจนอยู่พอสมควร โอกาสที่จะบวกหรือลบเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะปัจจุบันโลกมีความอ่อนไหวในสถานการณ์ต่างๆมาก จึงย่อมส่งผลในแง่บวกและลบได้อย่างรวดเร็ว และประเทศไทยเองก็ยังมีสิ่งที่น่าวิตกกังวลอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ปัญหาทางการเมือง และค่าเงินบาทแข็งค่าบาท ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจได้ทุกเมื่อ”
ทั้งนี้ปัญหาทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งยังคงมีความแตกแยกและประท้วงกันอยู่ โดยเฉพาะการประกาศว่าจะปิดสนามบินสุวรรณภูมิอีก ตรงนี้ย่อมส่งผลเสียหายต่อประเทศอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การส่งออกและนำเข้าเกิดปัญหาในการสร้างรายได้ และที่สุดย่อมส่งผลกระทบต่อการขายรถยนต์
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวว่า แม้เมอร์เซเดส-เบนซ์จะมองภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ไทยเป็นบวก แต่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจสภาวะผันแปรที่มีอยู่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ให้สามารถรับมือสถานการณ์ทั้งบวกและลบได้ตลอดเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขายประมาณ 4,000 คัน หรือบวก-ลบลงไม่มาก
“ปีที่แล้วเรานำกลยุทธ์ The Operation Tune-up มาใช้ในการบริหารจัดการเรื่องสินค้า สต็อก และการบริการหลังการขาย จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีความพร้อมและไม่มีปัญหาเรื่องสต็อกแล้ว จะเน้นกลยุทธ์ Triple Trust สร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานบริษัท ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสมกับตลาด รวมถึงการปรับปรุงบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นและพึงพอใจสูงสุด” ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวและว่า
สิ่งสำคัญเมอร์เซเดส-เบนซ์จะต้องสร้างความเชื่อมั่น ก่อนอื่นจะต้องเริ่มที่ตัวของพนักงาน และตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างแรงผลักดันให้เขามีความเชื่อ และมั่นใจที่ดำเนินงานตามแผน และสุดท้ายย่อมส่งผลถึงผู้บริโภค ส่วนการบริการจะเน้นการอบรมและเพิ่มความรู้ให้กับบุคลากร ภายใต้กลยุทธ์ “3Q++” คือ Quality และ Qualify ในการเพิ่มประสิทธิภาพช่างเฉพาะทาง และบริการหลังการขาย ส่วนของเครือข่าย และการกำหนดราคาสินค้าอะไหล่-บริการอย่างเหมาะสม
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวว่า ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดี และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ดังนั้นล่าสุดเมอร์ซเดส-เบนซ์จึงได้แนะนำรถยนต์ใหม่ 2 รุ่น คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส โฉมใหม่ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ประกอบในประเทศไทย(ซีเคดี) และการเปิดตัว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ใหม่ สู่ตลาดตั้งแต่วันที่ 22 มกราคมนี้เป็นต้นไป
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส เวอร์ชั่นซีเคดีรุ่นแรกของปีที่แนะนำสู่ตลาด เป็นรุ่น E300 AVANTGARD Saloon เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 219 แรงม้า พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยทางความปลอดภัย และความสะดวกสบายครบครัน ในราคาที่ 4,999,000 บาท
ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ได้ทำการปรับโฉมใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ S300, S350 CDI Blue EFFICIENCY L และ S500L โดยทั้งหมดมาพร้อมดีไซน์ใหม่ ของไฟคู่น้าแบบไบซีนอน และเทคโนลยีล้ำสมัย เช่นระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน รวมถึงจอภาพแสดงแบบ SPITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้จอแสดงผลเดียวเป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ด้วย โดยในรุ่น S300 มีราคาจำหน่าย 7,799,000 บาท รุ่น S350 CDI ราคา 7,999,000 บาท และรุ่น S500L ราคา 10,999,000 บาท
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมาแม้ภาพรวมตลาดรถยนต์จะตกต่ำจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นอีกปีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยประสบความสำเร็จ โดยมียอดขายรถยนต์เติบโตเป็นบวก หรือทำได้ถึง 3,850 คัน และรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดหรูไว้ได้เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน จากการบริหารจัดการด้านสต็อกและราคาอย่างมีประสิทธิภาพ
“ในปี 2553 นี้ แม้ทุกฝ่ายจะมองภาพรวมตลาดรถยนต์เป็นบวกหมด แต่สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังไม่มั่นใจมากนัก เพราะยังมีความไม่ชัดเจนอยู่พอสมควร โอกาสที่จะบวกหรือลบเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะปัจจุบันโลกมีความอ่อนไหวในสถานการณ์ต่างๆมาก จึงย่อมส่งผลในแง่บวกและลบได้อย่างรวดเร็ว และประเทศไทยเองก็ยังมีสิ่งที่น่าวิตกกังวลอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ปัญหาทางการเมือง และค่าเงินบาทแข็งค่าบาท ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจได้ทุกเมื่อ”
ทั้งนี้ปัญหาทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งยังคงมีความแตกแยกและประท้วงกันอยู่ โดยเฉพาะการประกาศว่าจะปิดสนามบินสุวรรณภูมิอีก ตรงนี้ย่อมส่งผลเสียหายต่อประเทศอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การส่งออกและนำเข้าเกิดปัญหาในการสร้างรายได้ และที่สุดย่อมส่งผลกระทบต่อการขายรถยนต์
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวว่า แม้เมอร์เซเดส-เบนซ์จะมองภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ไทยเป็นบวก แต่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจสภาวะผันแปรที่มีอยู่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ให้สามารถรับมือสถานการณ์ทั้งบวกและลบได้ตลอดเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขายประมาณ 4,000 คัน หรือบวก-ลบลงไม่มาก
“ปีที่แล้วเรานำกลยุทธ์ The Operation Tune-up มาใช้ในการบริหารจัดการเรื่องสินค้า สต็อก และการบริการหลังการขาย จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีความพร้อมและไม่มีปัญหาเรื่องสต็อกแล้ว จะเน้นกลยุทธ์ Triple Trust สร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานบริษัท ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสมกับตลาด รวมถึงการปรับปรุงบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นและพึงพอใจสูงสุด” ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวและว่า
สิ่งสำคัญเมอร์เซเดส-เบนซ์จะต้องสร้างความเชื่อมั่น ก่อนอื่นจะต้องเริ่มที่ตัวของพนักงาน และตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างแรงผลักดันให้เขามีความเชื่อ และมั่นใจที่ดำเนินงานตามแผน และสุดท้ายย่อมส่งผลถึงผู้บริโภค ส่วนการบริการจะเน้นการอบรมและเพิ่มความรู้ให้กับบุคลากร ภายใต้กลยุทธ์ “3Q++” คือ Quality และ Qualify ในการเพิ่มประสิทธิภาพช่างเฉพาะทาง และบริการหลังการขาย ส่วนของเครือข่าย และการกำหนดราคาสินค้าอะไหล่-บริการอย่างเหมาะสม
ศ.ดร.อเล็กซานเดอร์กล่าวว่า ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดี และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ดังนั้นล่าสุดเมอร์ซเดส-เบนซ์จึงได้แนะนำรถยนต์ใหม่ 2 รุ่น คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส โฉมใหม่ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ประกอบในประเทศไทย(ซีเคดี) และการเปิดตัว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ใหม่ สู่ตลาดตั้งแต่วันที่ 22 มกราคมนี้เป็นต้นไป
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส เวอร์ชั่นซีเคดีรุ่นแรกของปีที่แนะนำสู่ตลาด เป็นรุ่น E300 AVANTGARD Saloon เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 219 แรงม้า พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยทางความปลอดภัย และความสะดวกสบายครบครัน ในราคาที่ 4,999,000 บาท
ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ได้ทำการปรับโฉมใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ S300, S350 CDI Blue EFFICIENCY L และ S500L โดยทั้งหมดมาพร้อมดีไซน์ใหม่ ของไฟคู่น้าแบบไบซีนอน และเทคโนลยีล้ำสมัย เช่นระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน รวมถึงจอภาพแสดงแบบ SPITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้จอแสดงผลเดียวเป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ด้วย โดยในรุ่น S300 มีราคาจำหน่าย 7,799,000 บาท รุ่น S350 CDI ราคา 7,999,000 บาท และรุ่น S500L ราคา 10,999,000 บาท