ช่อง 5 ปรับผังรับปีเสือมุ่งเน้นบริการสาธารณะเพื่อความมั่งคง ไม่มุ่งกำไร เข้มโฆษณาแฝง อัดเพิ่มรายการข่าว “Hard Core (คอ) ข่าว” อีก 1 ชม. เสริมความสมบูรณ์ในการรายงานข่าว เผยรายได้ปีนี้แตะ 1,000 กว่าลบ. กำไรร่วม 200 ล. ฟากเจเอสแอล อกหัก หาย 1 รายการ เวิร์คพ้อยท์จำนวนรายการยังอยู่ครบ
พลโท กิตติทัศน์ บำเหน็จพันธุ์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เปิดเผยว่า ททบ.5 ยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายการเป็นสถานีโทรทัศน์บริการสาธารณะเพื่อความมั่งคง ตามแผนแม่บท กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมกองทัพบก ปี 2551-2555 โดยได้มีการปรับผังรายการใหม่ในปี 2553 ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังคงสัดส่วนรายการสาระความรู้ที่ 70%
บันเทิง 30%
อย่างไรก็ตามนโยบายของทาง ททบ.5ในปี 2553 นี้ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการเทิดทูนพระมหากษัตริย์, ป้องกันยาเสพติด, รักษาสิ่งแวดล้อม, ช่วยเหลือประชาชน พร้อมรณรงค์ภาษาไทย และเสริมสร้างสุขอนามัยการใช้ช้อนกลาง ซึ่งยังคงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรจนเกินไป
ทั้งนี้ในส่วนของรายละเอียดผังรายการนั้น ในส่วนของรายการข่าว จากเดิมที่มีอยู่วันละ 5-6 ชม. ได้เพิ่มเป็น 6-7 ชม. หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% กับรายการข่าวที่ชื่อ “Hard Core (คอ) ข่าว” ในช่วงเวลา 17.00 น. รูปแบบรายการแบบเจาะข่าวลึก จากปกติจะมีรายการข่าวค่ำอยู่แล้ว
ขณะที่ในส่วนของผู้จัดรายการนั้น โดยภาพรวมมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีรายการหลักหลุดผังเพียงเล็กน้อย เช่น รายการ เหนือชั้น 1000 แปลก ของเจเอสแอล ในช่วงคืนวันอังคารเวลา 22.05-22.20 น. ขณะที่ในส่วนของเวิร์คพ้อยท์ จำนวนรายการยังอยู่ครบ แต่อาจจะมีการเปลี่ยนชื่อทำใหม่ หรือปรับเวลาลงเล็กน้อย เช่น “เอสเอ็มอี ตีแตก” เป็นรายการใหม่ของเวิร์คพ้อยท์ ออกอากาศในช่วงเวลาทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลาประมาณ 23.00-23.40 น.
พลโท กิตติทัศน์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการขอความร่วมมือกับผู้จัดรายการในเรื่องของโฆษณาแฝงนั้น ปีหน้านี้จะเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันจำนวนรายการที่ยังมีโฆษณาแฝงอยู่เหลือไม่ถึง 15 รายการ ขณะที่โฆษณาแฝงที่เป็นสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่อนุญาตให้โชว์โลโก้ในรายการอีกต่อไป แต่อนุญาตให้โชว์ได้เพียงนามบริษัทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ้นปี 2552 นี้ ทางทบบ.5 คาดว่าจะมีรายได้ราว 1,000 กว่าล้านบาท และมีกำไรที่ 200 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขรายได้ที่ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากปีนี้มีการลงทุนซื้ออุปกรณ์พัฒนารายการข่าวค่อนข้างสูง ส่วนในปีหน้า จากกำไรที่เกิดขึ้น จะนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมี.ค. 2553
พลโท กิตติทัศน์ บำเหน็จพันธุ์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เปิดเผยว่า ททบ.5 ยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายการเป็นสถานีโทรทัศน์บริการสาธารณะเพื่อความมั่งคง ตามแผนแม่บท กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมกองทัพบก ปี 2551-2555 โดยได้มีการปรับผังรายการใหม่ในปี 2553 ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังคงสัดส่วนรายการสาระความรู้ที่ 70%
บันเทิง 30%
อย่างไรก็ตามนโยบายของทาง ททบ.5ในปี 2553 นี้ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการเทิดทูนพระมหากษัตริย์, ป้องกันยาเสพติด, รักษาสิ่งแวดล้อม, ช่วยเหลือประชาชน พร้อมรณรงค์ภาษาไทย และเสริมสร้างสุขอนามัยการใช้ช้อนกลาง ซึ่งยังคงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรจนเกินไป
ทั้งนี้ในส่วนของรายละเอียดผังรายการนั้น ในส่วนของรายการข่าว จากเดิมที่มีอยู่วันละ 5-6 ชม. ได้เพิ่มเป็น 6-7 ชม. หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% กับรายการข่าวที่ชื่อ “Hard Core (คอ) ข่าว” ในช่วงเวลา 17.00 น. รูปแบบรายการแบบเจาะข่าวลึก จากปกติจะมีรายการข่าวค่ำอยู่แล้ว
ขณะที่ในส่วนของผู้จัดรายการนั้น โดยภาพรวมมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีรายการหลักหลุดผังเพียงเล็กน้อย เช่น รายการ เหนือชั้น 1000 แปลก ของเจเอสแอล ในช่วงคืนวันอังคารเวลา 22.05-22.20 น. ขณะที่ในส่วนของเวิร์คพ้อยท์ จำนวนรายการยังอยู่ครบ แต่อาจจะมีการเปลี่ยนชื่อทำใหม่ หรือปรับเวลาลงเล็กน้อย เช่น “เอสเอ็มอี ตีแตก” เป็นรายการใหม่ของเวิร์คพ้อยท์ ออกอากาศในช่วงเวลาทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลาประมาณ 23.00-23.40 น.
พลโท กิตติทัศน์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการขอความร่วมมือกับผู้จัดรายการในเรื่องของโฆษณาแฝงนั้น ปีหน้านี้จะเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันจำนวนรายการที่ยังมีโฆษณาแฝงอยู่เหลือไม่ถึง 15 รายการ ขณะที่โฆษณาแฝงที่เป็นสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่อนุญาตให้โชว์โลโก้ในรายการอีกต่อไป แต่อนุญาตให้โชว์ได้เพียงนามบริษัทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ้นปี 2552 นี้ ทางทบบ.5 คาดว่าจะมีรายได้ราว 1,000 กว่าล้านบาท และมีกำไรที่ 200 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขรายได้ที่ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากปีนี้มีการลงทุนซื้ออุปกรณ์พัฒนารายการข่าวค่อนข้างสูง ส่วนในปีหน้า จากกำไรที่เกิดขึ้น จะนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมี.ค. 2553