xs
xsm
sm
md
lg

ช.การช่างเตรียมโกยรายได้เพิ่ม ประเมิน 53-54 ปีทองผู้รับเหมา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ช.การช่างลั่นชิงดำ เมกะโปรเจกต์ ชี้ 2553-2554 ปีทองรับเหมา งานทะลักมากสุดในรอบ 10 ปี เหตุรัฐอั้นงานก่อสร้างรถไฟฟ้าไว้นาน เล็งมีงานเพิ่มมูลค่า 30,000 ล้านบาท ส่วน รายได้ปีหน้า คาด 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท เตรียมแผนเพิ่มทุน ปรับระบบบริหารจัดการรองรับเนื้องานเพิ่ม ใช้ไอทีช่วยลดต้นทุน

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าในปี 2553 ต่อเนื่องถึงปี 2554 จะเป็นช่วงที่ปริมาณงานก่อสร้างออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเมินว่าจะมากที่สุดในรอบ 10 ปี ทั้งงานก่อสร้างภายใต้โครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง (SP2) โครงการรถไฟฟ้า ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นในการลดการใช้พลังงาน และทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยบริษัทคาดว่าจะมีงานก่อสร้างในปี 2553 เพิ่มขึ้นอีกมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท รวมกับงานก่อสร้างเดิมที่มีอยู่ขณะนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท และจะทำให้มีรายได้ประมาณ 1.4 -1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตกว่า 10 % ขณะที่ปี 2552 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท  

โดยบริษัทมีแผนเพิ่มทุน 206 ล้านหุ้น รวมถึงการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขยายงาน โดยมีโครงการขนาดใหญ่เป็นหลักเช่น เข้าร่วมประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สายสีแดง และสายสีเขียว  ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ เช่น โครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าน้ำงึม 2 ประเทศ สปป.ลาว

ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปราคาขายไฟฟ้าแก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรอนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของลาว ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากค่าไฟฟ้าประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2554 โดย ช.การช่าง ถือหุ้นในบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) 38%  ขณะที่ SEAN ถือหุ้นในน้ำงึมประมาณ 75%

นอกจากนี้ยังมีโครงการเขื่อนชัยบุรี โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำบาก 1 และน้ำบาก 2 ที่ลาว และจะเข้ายื่นประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าและทางด่วนที่เวียดนาม  นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงทุนระบบ ERP- Enterprise Resource Planning อีกประมาณ 90 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย

“ถือเป็นจังหวะดีของงานด้านก่อสร้าง ตั้งแต่ปลายปี 2552 ถึงปี 2554 จะเป็นช่วง ทีมีปริมาณงานออกมามาก ในขณะที่ 5 ปีก่อนหน้านี้ งานก่อสร้างมีน้อย โดยเฉพาะรถไฟฟ้า น่าจะเริ่มออกประมูลมากที่สุด”นายปลิวกล่าว

นายปลิว กล่าวว่า  เมื่อภาวะเศรษฐกิจเรื่องดีขึ้น ต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนต่อหน่วยของภาคการก่อสร้าง ซึ่งในส่วนของภาครัฐจะต้องเร่งการลงทุนโครงการรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ในขณะที่บริษัทได้เตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า  เช่น ปรับวิธีการทำงาน ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น ดูแลผลประโยชน์ของคู่ค้า และซัปพลายเออร์เพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด  ส่วนราคาน้ำมันหากยังอยู่ในระดับ80-100เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ยังสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนได้
กำลังโหลดความคิดเห็น