ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ได้ใบอนุญาตวางเคเบิลใต้น้ำ รองรับการโตแบบก้าวกระโดดของแบนด์วิธในไทยที่ปีหน้าคาดว่าจะมีการใช้งานโดยรวมถึง 120 กิกะบิต ขณะเดียวกันประกาศเดินหน้าขยายเชื่อมต่อสู่ลาว พม่า และกัมพูชา หวังผลักดันไทยผงาดเป็นศูนย์กลางเกตเวย์ในภูมิภาคเอเชีย
นายทรงธรรม เพียรพัฒนาวิทย์ ผู้อำนวยการบริหารด้านลูกค้าองค์กรและธุรกิจบริการระหว่างประเทศ บริษั ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ให้ใบอนุญาต หรือไลเซนส์กับบริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ให้เป็นผู้วางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ ทำให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกตเวย์เอกชนรายแรกที่ได้รับอนุญาตให้เชื่อมต่อโครงข่ายทั้งบนภาคพื้นดินและใต้น้ำ จะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจของทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ เพื่อรองรับปริมาณการใช้บรอดแบนด์ในประเทศ รวมถึงการเชื่อมต่อวงจรสื่อสารข้อมูลระหว่างประเทศ (IPLC) ของกลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งมีแนวโน้มการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ ยังจะเป็นโครงข่ายหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 3G WiMax รวมทั้ง NGN เป็นต้น
ดร.อโณทัย รัตนกุล ผู้จัดการทั่วไป ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ กล่าวว่า ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ยังขยายจุดเชื่อมต่อ POPS (Point of Presence) ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งขยายชุมสาย ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งยุโรปที่ประเทศอังกฤษ และเอเชีย ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มคุณภาพในการเชื่อมต่อให้กลุ่มลูกค้าไอเอสพี และกลุ่มลูกค้าองค์กรเชื่อมต่อความเร็วได้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น
การได้รับใบอนุญาตให้สามารถวางเคเบิลใยแก้วใต้น้ำจาก กทช. ครั้งนี้ จะเป็นการตอกย้ำความพร้อมในการให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ที่มีโครงข่ายครบถ้วนทั้งบนพื้นดินและใต้น้ำ เสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 50 ราย ให้สามารถใช้งานการเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสารข้อมูล และอินเทอร์เน็ตไปยังต่างประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่ได้รับอนุญาตให้สามารถเชื่อมต่อเกตเวย์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา เพราะนอกจากจะรองรับปริมาณการให้บริการที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการให้บริการเกตเวย์ในภูมิภาคได้ด้วย
ส่วนงบการลงทุนในปีหน้าคาดว่าจะใช้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมเคเบิลใต้น้ำ เพราะการได้ในอนุญาตครั้งนี้สามารถสร้างใหม่หรือเช่าได้ ด้านรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 850 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าจะโตอีก 15-20% หรือมีรายได้เป็นหลักพันล้านบาทได้
นายทรงธรรม เพียรพัฒนาวิทย์ ผู้อำนวยการบริหารด้านลูกค้าองค์กรและธุรกิจบริการระหว่างประเทศ บริษั ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ให้ใบอนุญาต หรือไลเซนส์กับบริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ให้เป็นผู้วางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ ทำให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกตเวย์เอกชนรายแรกที่ได้รับอนุญาตให้เชื่อมต่อโครงข่ายทั้งบนภาคพื้นดินและใต้น้ำ จะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจของทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ เพื่อรองรับปริมาณการใช้บรอดแบนด์ในประเทศ รวมถึงการเชื่อมต่อวงจรสื่อสารข้อมูลระหว่างประเทศ (IPLC) ของกลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งมีแนวโน้มการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ ยังจะเป็นโครงข่ายหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 3G WiMax รวมทั้ง NGN เป็นต้น
ดร.อโณทัย รัตนกุล ผู้จัดการทั่วไป ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ กล่าวว่า ทรู อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ยังขยายจุดเชื่อมต่อ POPS (Point of Presence) ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งขยายชุมสาย ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งยุโรปที่ประเทศอังกฤษ และเอเชีย ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มคุณภาพในการเชื่อมต่อให้กลุ่มลูกค้าไอเอสพี และกลุ่มลูกค้าองค์กรเชื่อมต่อความเร็วได้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น
การได้รับใบอนุญาตให้สามารถวางเคเบิลใยแก้วใต้น้ำจาก กทช. ครั้งนี้ จะเป็นการตอกย้ำความพร้อมในการให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ที่มีโครงข่ายครบถ้วนทั้งบนพื้นดินและใต้น้ำ เสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 50 ราย ให้สามารถใช้งานการเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสารข้อมูล และอินเทอร์เน็ตไปยังต่างประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่ได้รับอนุญาตให้สามารถเชื่อมต่อเกตเวย์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา เพราะนอกจากจะรองรับปริมาณการให้บริการที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการให้บริการเกตเวย์ในภูมิภาคได้ด้วย
ส่วนงบการลงทุนในปีหน้าคาดว่าจะใช้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมเคเบิลใต้น้ำ เพราะการได้ในอนุญาตครั้งนี้สามารถสร้างใหม่หรือเช่าได้ ด้านรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 850 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าจะโตอีก 15-20% หรือมีรายได้เป็นหลักพันล้านบาทได้