“ชุมพล” โผล่คุมเกม แถลงตั้ง “สุรพล” รองผู้ว่าการ ททท.ด้านสื่อสารการตลาด นั่งตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.คนใหม่ ชี้ เป็นเกมลดอุณหภูมิความขัดแย้ง เหตุคน ททท.ไม่เอาการเมือง แต่ฝ่ายการเมืองก็ยังชอบล้วงลูกการทำงาน จึงเจอกันครึ่งทาง หลายฝ่าย..งง!! อักกพล เก่งมาตลอด แต่กลับชวดได้อันดับ 3 ขณะที่ “สุรพล” ชู 4 วิสัยทัศน์เน้นกลยุทธ์อินเทรนด์ “ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง” เรียกคะแนน
วานนี้ (18 พ.ย.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการพิจารณาเลือก นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.เป็นผู้ว่าการ ททท.คนต่อไป จากที่คณะกรรมการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.ซึ่งมี น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นประธาน ได้เสนอรายชื่อผู้ผ่านการคัดสรรรอบสุดท้ายรวม 3 คน ตามลำดับคะแนน ได้แก่ นายสุรพล เศวตเศรนี, นายนาฬิกอติภัค แสงสนิท และนายอักกพล พฤกษะวัน
***ไขสือไม่รู้จัก “สุรพล”****
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินเข้ามาร่วมรับฟังการแถลงด้วย พร้อมกล่าวว่าไม่เคยรู้จัก นายสุรพล มาก่อนเลย คงจะรู้จักกันในตอนเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งคงจะให้นโยบายในเรื่องของ ภารกิจเร่งด่วนในเรื่องของตัวเลขนักท่องเที่ยวสิ้นปีนี้ให้ได้ 14 ล้านคน การเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดเสรี (FTA) ภาคท่องเที่ยวและบริการในปีหน้า และการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับแผนงานกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่นภายในปี 2557
*** ผู้ว่าฯคนใหม่อีก 1 ด.ได้ทำงาน *****
นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานบอร์ด ททท.กล่าวว่า จากนี้ไปจะเป็นหน้าที่ ของคณะกรรมการเจรจาค่าตอบแทน ซึ่งมี นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธาน เมื่อได้ข้อสรุปว่าค่าตอบแทนจะเป็นเท่าใดก็จะนำเข้าที่ประชุมบอร์ดเพื่อทราบ พร้อมส่งต่อไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขออนุมัติตามลำดับ คาดว่า กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาภายใน 1 เดือน
สำหรับคะแนนในการคัดเลือกผู้สมัครที่เข้ารอบสุดท้าย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คะแนนจากการสัมภาษณ์วิสัยทัศน์ 50 คะแนน และ คะแนนจากประวัติผู้สมัครอีก 50 คะแนน
ด้าน นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และกรรมการในคณะกรรมการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าการททท. กล่าวว่า จากการแบ่งคะแนนออกเป็น 2 ส่วนดังกล่าว ทำให้คณะกรรมการมีส่วนในการตัดสินเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นคะแนนจากประวัติของผู้สมัครเองซึ่งไม่มีใครปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งแผนงานที่โดดเด่นของนายสุรพล ที่นำเสนอในการให้สัมภาษณ์ต่อคณะกรรมการสรรหานั้น ได้แก่ การเน้นนำแผนการทำงานแบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเข้ามาใช้ทำการตลาดอย่างจริงจัง และการสร้างอารมณ์ความรู้สึก (อีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง)
***เชื่อการเมืองแทรกเลือก “สุรพล” ลดอุณหภูมิ***
แหล่งข่าวจากวงการท่องเที่ยว กล่าวว่า การที่บอร์ด ททท.ตัดสินใจเลือก นายสุรพล เป็นผู้ว่าการ ททท.นั้น เพื่อต้องการลดกระแสความขัดแย้งระหว่างการเมืองกับพนักงาน ททท.ที่ไม่ต้องการคนนอกเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.แต่ฝ่ายการเมืองก็ต้องการบุคคลที่สามารถควบคุมได้ สามารถโอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของฝ่ายการเมือง ซึ่งหากเป็นบุคลิกการทำงานของ นายอักกพล จะเป็นแนวตรงไปตรงมา ผิดกับ นายสุรพล ซึ่งมีบุคลิกการทำงานที่โอนอ่อนผ่อนตามมากว่า แต่หากเลือกนายนาฬิกอติภัค จะยิ่งทำให้รอยร้าวระหว่างพนักงาน ททท.กับฝ่ายการเมืองจะยิ่งบานปลาย เพราะเป็นคนนอกที่มาจากพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด
“มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา นายชุมพล และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และของ ททท.ต่างให้เหตุผลว่า นายอักกพล เป็นคนทำงานดีและเก่ง มีความรู้ความเข้าใจด้านท่องเที่ยวจากประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปี โดยเฉพาะด้านการวางนโยบาย เมื่อเปรียบเทียบกับนายสุรพล แล้วเหนือกว่า จึงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาททท.ระดับ 11 แต่ทำไมผลคะแนนของคณะกรรมการสรรหา นายอักกพล กลับอยู่ลำดับที่ 3 น้อยกว่าทั้งนายสุรพล และ นายนาฬิกอติภัค จึงเป็นไปได้ว่าการเลือกครั้งนี้ต้องมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง”
หากดูรายชื่อคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ ททท.ทั้ง 5 คน จะพบว่า 4 คนแรกเป็นภาคราชการและฝ่ายการเมือง อาทิ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ, น.ส.เมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ รักษาการผู้จัดการใหญ่อีลิทการ์ด และโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวฯ,ว่าที่ ร.ต.ขันธ์ชัย วิจักขณะ อธิบดีกรมที่ดิน และกรรมการบอร์ด ททท., นางโสภาพรรณ อมตะเดชะ กรรมการบอร์ดททท. มีเพียง 1 คนสุดท้ายที่เป็นตัวแทนจากภาคเอกชน คือ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ขณะที่ นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) กล่าวว่า ภาคเอกชนรับได้กับการตัดสินใจของบอร์ด ททท.ที่เลือก นายสุรพล รับตำแหน่งผู้ว่าการ ททท. เพราะเป็นคนในที่สามารถปฎิบัติงานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ต้องการฝากให้การทำงานของ ททท. ให้มีการประสานงานกับภาคเอกชนให้มากขึ้นกว่าในอดีต
****เปิด 4 วิสัยทัศน์เร่งด่วนของผู้ว่าฯคนใหม่**
ทางด้าน นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ว่าที่ผู้ว่าการททท.คนล่าสุด กล่าวภายหลังการรับทราบผลการคัดเลือกของบอร์ด ททท.ว่า ภายใต้การบริหารงานของตนหลังรับตำแหน่ง จะให้ความสำคัญ 4 แนวทางเร่งด่วน ได้แก่ 1.การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะด้านไอทีเทคโนโลยี เน็ตเวิร์ก
จากเดิมที่เน้นทำตลาดแบบเดิม คือ โรดโชว์-เทรดโชว์ ซึ่งไม่เพียงพอ แต่จะต้องเพิ่มความสำคัญในกลยุทธ์ติจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะกับประเทศไทยมาก เพราะมีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจะตอบโจทย์ให้ ททท.นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมและรวดเร็ว
2.เร่งสร้างการรับรู้แบรนด์ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางด้วยการใช้วิธีสื่อสารทางความรู้สึกมากกว่าประโยชน์ใช้สอย (อีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง ให้มากกว่าฟังก์ชั่น) เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความรู้สึกผูกพันประเทศไทย จะได้เพิ่มการเดินทางมาซ้ำและไม่อ่อนไหวแม้ในสถานการณ์ไม่ปกติเพราะรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี และได้รับการบริการที่ดี
3.สนับสนุนภาพลักษณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ปกป้องสังคม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการท่องเทียวแบบยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ที่อยู่ในความนิยมของโลก และ 4.เดินหน้าโครงการบริหารข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤต หรือไครซีท คอมมูนิเคชัน แมเนจเมนต์ เพื่อประเมินสถานการณ์ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤต เป็นการลดความเสี่ยงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะมีผลเสียหายจากวิกฤต
สำหรับความขัดแย้งระหว่างพนักงาน ททท.กับฝ่ายการเมือง จะแก้ไขด้วยการเปิดเวธีพูดคุยกับพนักงาน เพื่อสอบถามถึงความต้องการ และข้อข้องใจ ซึ่งหากสิ่งใดที่ผู้ว่าการ ททท.ตัดสินใจเองไม่ได้ ก็จะเสนอให้ระดับนโยบายเป็นผู้ตัดสิน
วานนี้ (18 พ.ย.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการพิจารณาเลือก นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.เป็นผู้ว่าการ ททท.คนต่อไป จากที่คณะกรรมการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.ซึ่งมี น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นประธาน ได้เสนอรายชื่อผู้ผ่านการคัดสรรรอบสุดท้ายรวม 3 คน ตามลำดับคะแนน ได้แก่ นายสุรพล เศวตเศรนี, นายนาฬิกอติภัค แสงสนิท และนายอักกพล พฤกษะวัน
***ไขสือไม่รู้จัก “สุรพล”****
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินเข้ามาร่วมรับฟังการแถลงด้วย พร้อมกล่าวว่าไม่เคยรู้จัก นายสุรพล มาก่อนเลย คงจะรู้จักกันในตอนเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งคงจะให้นโยบายในเรื่องของ ภารกิจเร่งด่วนในเรื่องของตัวเลขนักท่องเที่ยวสิ้นปีนี้ให้ได้ 14 ล้านคน การเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดเสรี (FTA) ภาคท่องเที่ยวและบริการในปีหน้า และการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับแผนงานกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่นภายในปี 2557
*** ผู้ว่าฯคนใหม่อีก 1 ด.ได้ทำงาน *****
นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานบอร์ด ททท.กล่าวว่า จากนี้ไปจะเป็นหน้าที่ ของคณะกรรมการเจรจาค่าตอบแทน ซึ่งมี นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธาน เมื่อได้ข้อสรุปว่าค่าตอบแทนจะเป็นเท่าใดก็จะนำเข้าที่ประชุมบอร์ดเพื่อทราบ พร้อมส่งต่อไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขออนุมัติตามลำดับ คาดว่า กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาภายใน 1 เดือน
สำหรับคะแนนในการคัดเลือกผู้สมัครที่เข้ารอบสุดท้าย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คะแนนจากการสัมภาษณ์วิสัยทัศน์ 50 คะแนน และ คะแนนจากประวัติผู้สมัครอีก 50 คะแนน
ด้าน นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และกรรมการในคณะกรรมการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าการททท. กล่าวว่า จากการแบ่งคะแนนออกเป็น 2 ส่วนดังกล่าว ทำให้คณะกรรมการมีส่วนในการตัดสินเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นคะแนนจากประวัติของผู้สมัครเองซึ่งไม่มีใครปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งแผนงานที่โดดเด่นของนายสุรพล ที่นำเสนอในการให้สัมภาษณ์ต่อคณะกรรมการสรรหานั้น ได้แก่ การเน้นนำแผนการทำงานแบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเข้ามาใช้ทำการตลาดอย่างจริงจัง และการสร้างอารมณ์ความรู้สึก (อีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง)
***เชื่อการเมืองแทรกเลือก “สุรพล” ลดอุณหภูมิ***
แหล่งข่าวจากวงการท่องเที่ยว กล่าวว่า การที่บอร์ด ททท.ตัดสินใจเลือก นายสุรพล เป็นผู้ว่าการ ททท.นั้น เพื่อต้องการลดกระแสความขัดแย้งระหว่างการเมืองกับพนักงาน ททท.ที่ไม่ต้องการคนนอกเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.แต่ฝ่ายการเมืองก็ต้องการบุคคลที่สามารถควบคุมได้ สามารถโอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของฝ่ายการเมือง ซึ่งหากเป็นบุคลิกการทำงานของ นายอักกพล จะเป็นแนวตรงไปตรงมา ผิดกับ นายสุรพล ซึ่งมีบุคลิกการทำงานที่โอนอ่อนผ่อนตามมากว่า แต่หากเลือกนายนาฬิกอติภัค จะยิ่งทำให้รอยร้าวระหว่างพนักงาน ททท.กับฝ่ายการเมืองจะยิ่งบานปลาย เพราะเป็นคนนอกที่มาจากพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด
“มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา นายชุมพล และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และของ ททท.ต่างให้เหตุผลว่า นายอักกพล เป็นคนทำงานดีและเก่ง มีความรู้ความเข้าใจด้านท่องเที่ยวจากประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปี โดยเฉพาะด้านการวางนโยบาย เมื่อเปรียบเทียบกับนายสุรพล แล้วเหนือกว่า จึงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาททท.ระดับ 11 แต่ทำไมผลคะแนนของคณะกรรมการสรรหา นายอักกพล กลับอยู่ลำดับที่ 3 น้อยกว่าทั้งนายสุรพล และ นายนาฬิกอติภัค จึงเป็นไปได้ว่าการเลือกครั้งนี้ต้องมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง”
หากดูรายชื่อคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ ททท.ทั้ง 5 คน จะพบว่า 4 คนแรกเป็นภาคราชการและฝ่ายการเมือง อาทิ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ, น.ส.เมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ รักษาการผู้จัดการใหญ่อีลิทการ์ด และโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวฯ,ว่าที่ ร.ต.ขันธ์ชัย วิจักขณะ อธิบดีกรมที่ดิน และกรรมการบอร์ด ททท., นางโสภาพรรณ อมตะเดชะ กรรมการบอร์ดททท. มีเพียง 1 คนสุดท้ายที่เป็นตัวแทนจากภาคเอกชน คือ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ขณะที่ นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) กล่าวว่า ภาคเอกชนรับได้กับการตัดสินใจของบอร์ด ททท.ที่เลือก นายสุรพล รับตำแหน่งผู้ว่าการ ททท. เพราะเป็นคนในที่สามารถปฎิบัติงานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ต้องการฝากให้การทำงานของ ททท. ให้มีการประสานงานกับภาคเอกชนให้มากขึ้นกว่าในอดีต
****เปิด 4 วิสัยทัศน์เร่งด่วนของผู้ว่าฯคนใหม่**
ทางด้าน นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ว่าที่ผู้ว่าการททท.คนล่าสุด กล่าวภายหลังการรับทราบผลการคัดเลือกของบอร์ด ททท.ว่า ภายใต้การบริหารงานของตนหลังรับตำแหน่ง จะให้ความสำคัญ 4 แนวทางเร่งด่วน ได้แก่ 1.การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะด้านไอทีเทคโนโลยี เน็ตเวิร์ก
จากเดิมที่เน้นทำตลาดแบบเดิม คือ โรดโชว์-เทรดโชว์ ซึ่งไม่เพียงพอ แต่จะต้องเพิ่มความสำคัญในกลยุทธ์ติจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะกับประเทศไทยมาก เพราะมีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจะตอบโจทย์ให้ ททท.นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมและรวดเร็ว
2.เร่งสร้างการรับรู้แบรนด์ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางด้วยการใช้วิธีสื่อสารทางความรู้สึกมากกว่าประโยชน์ใช้สอย (อีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง ให้มากกว่าฟังก์ชั่น) เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความรู้สึกผูกพันประเทศไทย จะได้เพิ่มการเดินทางมาซ้ำและไม่อ่อนไหวแม้ในสถานการณ์ไม่ปกติเพราะรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี และได้รับการบริการที่ดี
3.สนับสนุนภาพลักษณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ปกป้องสังคม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการท่องเทียวแบบยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ที่อยู่ในความนิยมของโลก และ 4.เดินหน้าโครงการบริหารข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤต หรือไครซีท คอมมูนิเคชัน แมเนจเมนต์ เพื่อประเมินสถานการณ์ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤต เป็นการลดความเสี่ยงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะมีผลเสียหายจากวิกฤต
สำหรับความขัดแย้งระหว่างพนักงาน ททท.กับฝ่ายการเมือง จะแก้ไขด้วยการเปิดเวธีพูดคุยกับพนักงาน เพื่อสอบถามถึงความต้องการ และข้อข้องใจ ซึ่งหากสิ่งใดที่ผู้ว่าการ ททท.ตัดสินใจเองไม่ได้ ก็จะเสนอให้ระดับนโยบายเป็นผู้ตัดสิน
