สัญญาณนักท่องเที่ยว กลับมาชอปเมืองไทย เต็ม 100% ยอดจองห้องพักในโรงแรมย่านราชประสงค์ เต็มไปถึง ม.ค.ปีหน้า “เกษร” มีความหวัง อัดแคมเปญ Pure Reward 10 ล้านบาท หวังดึงกำลังซื้อเข้าศูนย์แตะ 1.3 หมื่นคนต่อวัน ช่วยต่อรายได้ไตรมาสสี่ขยับโต 10% เข็นผลประกอบการทั้งปีเท่าปีก่อน
นางสาธิมา ทานาเบ้ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกษร แลนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด ผู้บริหารเกษรพลาซ่า เปิดเผยว่า ภาพรวมลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าเกษรในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบเป็นตัวเลขรายได้แล้ว ยังถือว่าต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่บ้าง เนื่องจากในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าในกลุ่มนักท่องเที่ยว หายไปมากกว่า 50% ยอดขายในช่วงนั้นถือว่าตกลงไปมาก
ทางเกษรจึงได้จัดแคมเปญลดราคาสินค้ากลางปีเร็วขึ้น จับกลุ่มลูกค้าโลคอล เพื่อกระตุ้นยอดขาย พบว่า เป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ยอดขายจากลูกค้าคนไทยเติบโตขึ้นกว่า 53% แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนในส่วนของรายได้จากลูกค้านักท่องเที่ยวได้ แม้ว่าสัดส่วนลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยว จะอยู่ที่ 50% เท่าๆ กัน
อย่างไรก็ตาม พบว่า ในช่วงไตรมาสสี่นี้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มอาหรับ อินเดีย และจีน ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของทางเกษร เริ่มกลับมา ซึ่งมียอดจองห้องพักในโรงแรมย่านราชประสงค์ประมาณ 5-6 โรงแรม จำนวนห้องพักกว่า 3,000 ห้อง เต็มตั้งแต่เดือน พ.ย.-ม.ค.ปีหน้า ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์เริ่มสูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 หมื่นคนต่อวัน คาดว่าช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ จะขยับขึ้นเป็น 1.3 หมื่นคนต่อวัน เชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าว จะผลักดันให้มียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 10% หรือช่วยให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีกลับมาทรงตัวเท่าปีก่อน
ล่าสุด ในไตรมาสสี่ ทางศูนย์ได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 3.5 เท่า ในการจัดแคมเปญ Pure Reward ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 4 เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น โดยได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ 2 กลุ่มหลัก คือ บัตรอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และ The Leading Hotels of the World ในการมอบรางวัลใหญ่สำหรับลูกค้าที่มียอดซื้อสินค้าสูงสุด อีกทั้งยังได้ตกแต่งประดับประดาศูนย์ฯ เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข ภายใต้แนวความคิด “คริสต์มาส แฟนตาซี” เพื่อขยายฐานลูกค้าเดิม เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัวให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง “ภา” ยามยาก สภากาชาดไทย จัดบูธจำหน่ายสินค้าของขวัญต่างๆ ซึ่งได้รับพระดำริจัดทำโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหลังหักค่าใช้จ่าย จะนำไปสมทบทุนมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัย
นางสาธิมา กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่นิ่ง ส่งผลให้ทางศูนย์ต้องมีการปรับกลยุทธ์รับมือแบบระยะสั้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความถี่ในการจัดแคมเปญต่างๆ แบบระยะสั้น รวมไปถึงการเจาะกลุ่มเป้าหมาย แบบเจาะจงสูงขึ้น อีกทั้งยังมองหาช่องทางอื่นๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น สื่ออินเทอร์เน็ต อย่าง Facebook เพื่อจับกลุ่มลูกค้า New Money ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มทำงาน แต่มีกำลังซื้อ โดยหลังเปิดตัวมาได้ 3 เดือน ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,200 คนแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ ถือเป็นกลุ่มที่มีฐานเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ คาดว่า อีกไม่นานจะกลายมาเป็นฐานลูกค้าใหญ่สุด แทนกลุ่ม Old Money ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่สุดในปัจจุบัน
นางสาธิมา ทานาเบ้ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกษร แลนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด ผู้บริหารเกษรพลาซ่า เปิดเผยว่า ภาพรวมลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าเกษรในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบเป็นตัวเลขรายได้แล้ว ยังถือว่าต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่บ้าง เนื่องจากในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าในกลุ่มนักท่องเที่ยว หายไปมากกว่า 50% ยอดขายในช่วงนั้นถือว่าตกลงไปมาก
ทางเกษรจึงได้จัดแคมเปญลดราคาสินค้ากลางปีเร็วขึ้น จับกลุ่มลูกค้าโลคอล เพื่อกระตุ้นยอดขาย พบว่า เป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ยอดขายจากลูกค้าคนไทยเติบโตขึ้นกว่า 53% แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนในส่วนของรายได้จากลูกค้านักท่องเที่ยวได้ แม้ว่าสัดส่วนลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยว จะอยู่ที่ 50% เท่าๆ กัน
อย่างไรก็ตาม พบว่า ในช่วงไตรมาสสี่นี้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มอาหรับ อินเดีย และจีน ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของทางเกษร เริ่มกลับมา ซึ่งมียอดจองห้องพักในโรงแรมย่านราชประสงค์ประมาณ 5-6 โรงแรม จำนวนห้องพักกว่า 3,000 ห้อง เต็มตั้งแต่เดือน พ.ย.-ม.ค.ปีหน้า ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์เริ่มสูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 หมื่นคนต่อวัน คาดว่าช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ จะขยับขึ้นเป็น 1.3 หมื่นคนต่อวัน เชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าว จะผลักดันให้มียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 10% หรือช่วยให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีกลับมาทรงตัวเท่าปีก่อน
ล่าสุด ในไตรมาสสี่ ทางศูนย์ได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 3.5 เท่า ในการจัดแคมเปญ Pure Reward ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 4 เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น โดยได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ 2 กลุ่มหลัก คือ บัตรอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และ The Leading Hotels of the World ในการมอบรางวัลใหญ่สำหรับลูกค้าที่มียอดซื้อสินค้าสูงสุด อีกทั้งยังได้ตกแต่งประดับประดาศูนย์ฯ เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข ภายใต้แนวความคิด “คริสต์มาส แฟนตาซี” เพื่อขยายฐานลูกค้าเดิม เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัวให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง “ภา” ยามยาก สภากาชาดไทย จัดบูธจำหน่ายสินค้าของขวัญต่างๆ ซึ่งได้รับพระดำริจัดทำโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหลังหักค่าใช้จ่าย จะนำไปสมทบทุนมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัย
นางสาธิมา กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่นิ่ง ส่งผลให้ทางศูนย์ต้องมีการปรับกลยุทธ์รับมือแบบระยะสั้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความถี่ในการจัดแคมเปญต่างๆ แบบระยะสั้น รวมไปถึงการเจาะกลุ่มเป้าหมาย แบบเจาะจงสูงขึ้น อีกทั้งยังมองหาช่องทางอื่นๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น สื่ออินเทอร์เน็ต อย่าง Facebook เพื่อจับกลุ่มลูกค้า New Money ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มทำงาน แต่มีกำลังซื้อ โดยหลังเปิดตัวมาได้ 3 เดือน ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,200 คนแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ ถือเป็นกลุ่มที่มีฐานเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ คาดว่า อีกไม่นานจะกลายมาเป็นฐานลูกค้าใหญ่สุด แทนกลุ่ม Old Money ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่สุดในปัจจุบัน