xs
xsm
sm
md
lg

บอสใหม่ท็อปส์รุกเมอร์ชันไดส์ ชู 2 คีย์หลักพร้อมเร่งมือกู้แชร์คืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บอสใหม่ท็อปส์รับไม้ต่อจาก “เอียน ไพย์” หลังเกษียณกันยายนนี้ ลั่นนโยบายวิสัยทัศน์เดิม เดินหน้าปรับระบบเมอร์ชันไดส์ใหม่ เปิดเกมรุกอัด 600 ล้านบาท ลุยศึกปีหน้า ด้านเอียนโชว์ผลงานช่วง 5 ปีที่บริหาร

นายอลิสเตอร์ เทย์เลอร์ ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ คนใหม่ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กันยายน บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายหลังจากที่เข้าบริหารงานจะมุ่งเน้น 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.Speed หรือ ความรวดเร็ว 2.Innovative หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ธุรกิจฟู้ดรีเทลมีการแข่งขันที่สูง และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่แข่ง และพฤติกรรมผู้บริโภคด้วยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งจะทำยังไงที่จะต้องล้ำหน้าและเร็วกว่าคู่แข่ง นำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับตลาดและผู้บริโภค

ทั้งนี้ มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนระบบเมอร์ชันไดส์การจัดการสินค้าใหม่ ด้วยระบบไอทีที่เรียกว่า รีเทล แมเนจเมนต์ ซิสเต็ม ที่ได้พัฒนามาแล้วเกือบปีเศษ และเหลือเวลาอีกประมาณ 18 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้ระบบการจัดการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“ส่วนวิสัยทัศน์กับปรัชญาบริษัทนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว เพราะผมทำงานร่วมกับ นายเอียน ไพย์ (กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันที่จะเกษียณอายุวันที่ 1 กันยายนนี้เช่นกัน) ในเซ็นทรัลฟู้ดรีเทลนี้มาตั้งแต่ปี 2004 และก่อนหน้านั้นในต่างประเทศก็ทำงานร่วมกันมาด้วยที่พาร์คแอนด์ชอป”

นายเอียน ไพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยในปี 2553 คาดว่า จะมีการลงทุนอย่างต่ำ 400 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่แบ่งเป็น ท็อปส์มาร์เก็ต 3 สาขา ท็อปส์ซูเปอร์ 2 สาขา และท็อปส์เดลี่ 40 สาขา อีกทั้งจะใช้งบ 200 ล้านบาทรีโนเวทสาขาเดิมกว่า 17 สาขา นอกนั้นยังใช้งบต่างหาก 85 ล้านบาท เฉพาะการรีโนเวตที่สาขาลาดพร้าวอีกด้วย และจะรีโนเวตสาขาที่ภูเก็ตเฟสติวัลให้เป็นรูปแบบเซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์สาขาที่ 4 ขณะที่การรีโนเวตสาขาเดิม 22 แห่งจะเสร็จสิ้นปีนี้

สำหรับผลประกอบการ 7 เดือนแรกนี้ เติบโต 7% คาดว่า สิ้นปีจะเติบโตที่ 5-6% และตั้งเป้าหมายว่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.6% จากตลาดค้าปลีกรวมกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์ท

นายเอียน กล่าวว่า ช่วง 5 ปีที่ดำรงตำแหน่งบริหารที่บริษัท เมื่อปี 2547 ที่มีแค่ 46 สาขา แต่ปัจจุบันเติบโตมีรวม 117 สาขา รวมทั้งได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการขยายและปรับปรุงสาขา การสร้างกลยุทธ์ตลาด การพัฒนาสินค้าต่อเนื่องรวมทั้งเฮาส์แบรนด์ด้วยที่มีมากกว่า 450 รายการ และจะเพิ่มเป็น 700 รายการสิ้นปีนี้ การลงทุนในร้านกาแฟแบรนด์เซกราเฟรโด ซึ่งปัจจุบันมี 7 สาขาแล้ว การทำซีอาร์เอ็ม รวมถึงการทำบัตรสปอตรีวอร์ดคาร์ด ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกถือบัตร 4.1 ล้านราย และมียอดขายมาจากสปอตรีวอร์ดมากกว่า 85% จากทั้งหมด

โดยส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกของบริษัทในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์ท อยู่ที่ 7.5% เมื่อปี 2547 เพิ่มมาเป็น 8.7% ในปี 2548 และเป็น 10.1% ในปี 2549 ซึ่งบริษัทยังได้รับการยอมรับและถูกจัดลำดับให้เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตดีที่สุด 1 ใน 3 ของโลก และอันดับที่ 1 ในเอเชียด้วย

ขณะที่รายได้รวมนั้น ในปี 2547 มีประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านบาทเมื่อปี 2551 และคาดว่าปี 2552 จะมีประมาณ 22,000 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าจะเพิ่มเป็น 24,000 ล้านบาท
 
นายเอียน ยอมรับว่า ช่วงปี 2550 ส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 9.7% และลดลงเหลือ 8.3% ในปีที่แล้ว ส่วนกำไรก็ลดลงในช่วงปี 2549-2550 แต่กลับมากำไรพุ่งขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเราเน้นการลงทุนขยายสาขามาก
 
“เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เรามีแค่ 46 สาขา คู่แข่งเราบอกว่าอีก 5 ปีคือในวันนี้เขาจะเป็นรายใหญ่ที่สุด แต่เขาก็ยังมีอยู่แค่ 50 กว่าสาขา แต่ของเรามี 117 สาขาแล้ว และคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีรวมเป็น 128 สาขา”

ปัจจุบันในเซกเมนต์ซูเปอร์มาร์เก็ตในไทย เซ็นทรัลฟู้ดรีเทลมี 117 สาขา เทสโก้ (เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต) มี 55 สาขา วิลล่ามาร์เก็ตมี 15 สาขา ฟู้ดแลนด์มี 11 สาขา จัสโก้ มี 9 สาขา โฮมเฟรชมาร์ทและกูร์เม่ต์มาร์เก็ต มีประมาณ 9 สาขา โดยตลาดรวมค้าปลีกฟู้ดทั้งระบบมีประมาณ 5 แสนล้านบาท แยกเป็น เทรดดิชันแนลเทรด 59% และโมเดิร์นเทรด 41%
กำลังโหลดความคิดเห็น