เฟสต้าฉะรัฐบาลมั่วปั้นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ 14 ล้านคน ชี้ทำได้อย่างดีที่สุดแค่ 10 ล้านคน เตรียมหารือสมาชิกต้นเดือนหน้าก่อนร่อนหนังสือ แจง”อภิสิทธิ์-ชุมพล” ตื่นจากฝัน ระบุยอดจองไฮซีซั่นปีนี้ร่วง 40% ส่วน 8 เดือนแรกร่วง 50% พร้อมจี้ สตง.ตรวจการใช้งบของ ททท.
นายอภิชาติ สังฆอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) และ ที่ปรึกษาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ในต้นเดือนกันยายนนี้เตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการของเฟสต้า เพื่อหารือถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ โดยเมื่อได้ข้อสรุปจะส่งหนังสือยื่นต่อนายชุมพลศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง พร้อมกับต้องการให้ สำนักงานการตวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เข้ามาตรวจสอบการใช้งบประมาณของ ททท.ด้วย
**ปลุกรัฐบาลตื่น 14 ล้านคนแค่ความฝัน******
ทั้งนี้เพราะจากการที่รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมายืนยันว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้จะสามารถทำได้ถึง 14 ล้านคนแน่นอน โดยจะใช้วิธีการทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อส่งเสริมการตลาดแบบถึงตรงกลุ่มทัวร์และนักท่องเที่ยว(ฮาร์ดเซล)เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน
โดยภาคเอกชนในวงการท่องเที่ยว ซึ่งมีประสบการณ์การทำธุรกิจมานาน และใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด มองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้หากทำได้อย่างเต็มที่ก็เพียง 10 ล้านคน ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ซึ่งการที่ภาครัฐออกมาพูดตัวเลข 14 ล้านคนอย่างมั่นใจ สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเข้าใจอุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง หรืออาจได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด บิดเบือนความเป็นจริง
***การเมือง-ค่าบาทแข็งต่างชาติเมินเที่ยวไทย****
เพราะแม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะส่งสัญญาณฟื้นตัวแล้วก็ตาม แต่ ในระยะแรก ประชาชนที่รับรับผลกระทบยังไม่มีความมั่นใจเต็มที่ จึงยังคงระมัดระวังการจับจ่ายต่อไปสักอีกระยะ ประกอบกับปัจจัยลบในอีก 2 ประเด็นหลัก ที่สำคัญ ได้แก่ 1.ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเงินของยุโรปและอังกฤษ เงินบาทแข็งขึ้นถึง 20% ทำให้นักท่องเที่ยวต้องจ่ายแพงขึ้น และ 2.สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ที่มีข่าวการนัดชุมนุมของกลุ่มต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาพของการปิดสนามบิน และเหตุการณ์ล้มการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา ทำให้ชาวต่างชาติยังหวาดกลัว และสนใจที่จะเฝ้าติดตามการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจเดินทางเข้ามาในช่วงนี้
สำหรับตลาดสแกน ซึ่งเป็นเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่จะเดินทางเข้ามาช่วงไฮซีซั่นของทุกปี ล่าสุด ปีนี้ มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่า จำนวนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์)ที่จะมาลงกรุงเทพถูกยกเลิกไปสัปดาห์ละ 2 เที่ยว หรือราว 700 คน ทำให้คาดว่าระเวลา 5 เดือน (พ.ย.-มี.ค.) เฉพาะตลาดแสกนจะหายไป 1.5 หมื่นคน สูญเสียรายได้ กว่า 840 ล้านบาท
ส่วนแผนกระตุ้นตลาดตะวันออกกลางคงเป็นไปได้ยาก เพราะว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงถือศีลอด ซึ่งชาวอิสลามจะไม่เดินทางท่องเที่่ยวอยู่แล้ว
“ต้องยอมรับว่าการเมืองของไทยเป็นที่สนใจของชาวโลกไปแล้ว ซึ่งเฉพาะพื้นที่กรุงเทพ ตลาดสแกนจะหายไปไม่น้อยกว่า 35% เพราะคนที่ยังมาแต่ปรับวิธีเที่ยวโดยไม่แวะกรุงเทพ แต่มุ่งไปจังหวัดที่พักเลย ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า ยอดจองห้องพักช่วงไฮซีซั่นปีนี้เทียบกับปีก่อนลดลงเฉลี่ยจังหวัดละ 30-40% เช่น จ.กระบี่ลดลง 30% เกาะลันตาลดลง 40% เขาหลัก ก็ยังมีการจองที่น้อยสะท้อนว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวยังไม่เดินทางมา ส่วนกลุ่มที่จะมาก็คอยระยะใกล้ เพื่อจะได้ราคาถูก”
นายอภิชาติ กล่าวว่า แนวทางการคิดแผนการทำงานของ กระทรวงการท่องเที่ยวฯและ ททท. ยังตอบโจทย์ได้ไม่ตรงจุด ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ยังคงมีรูปแบบการทำตลาดแบบเดิมๆ ไม่เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง แผนส่งเสริมแบบอินมาร์เก็ต ที่หยิบขึ้นมาใช้ก็ตอบโจทย์ได้เพียงบางตลาด เช่น จีน เป็นต้น ส่วนตลาดอื่นๆ ต้องใช้วิธีอื่น เช่นคุยกับโฮลเซลเลอรรายใหญ่ในแต่ละตลาดจัดโปรโมทชั่นร่วมกัน หรือการโฆษณาบนป้ายขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจให้มากๆ
****นักท่องเที่ยวผ่านแอตต้าวูบ50%***
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเดือน สิงหาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางผ่านแอตต้าเพียง 9 หมื่นคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 1.8 แสนคนลดลง 50% ส่วน 8 เดือนแรกปีนี้ เทียนบกับปีก่อน ลดลงเฉลี่ย 40%
นายอภิชาติ กล่าวอีว่า สำหรับการรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกด่านเข้าเมือง 5 เดือนแรก 5.6 ล้านคน เป็นการจัดเก็บที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะถ้าเป็นผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจริงๆไม่น่าจะถึง แต่หน่วยงานที่จัดเก็บอาจนับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าของประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางเข้ามาขายสินค้าตามตะเข็บชายแดนไทยเข้าไปด้วย การหารือของคณะกรรมการเฟสต้า เราจำนะตัวเลขจริงมาพูดหารือกัน เพื่อปลุกให้ทุกคนตื่นจากความฝัน อย่างกลัวที่จะพูดความจริง เพราะขณะนี้มีหลายโรงแรมที่แบกรับการขาดทุนไม่ไหวและต้องการจะขายกิจการจำนวนมาก ส่วนโรงแรมในกรุงเทพมีอัตราเข้าพักเหลือไม่ถึง 30%
นายอภิชาติ สังฆอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) และ ที่ปรึกษาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ในต้นเดือนกันยายนนี้เตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการของเฟสต้า เพื่อหารือถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ โดยเมื่อได้ข้อสรุปจะส่งหนังสือยื่นต่อนายชุมพลศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง พร้อมกับต้องการให้ สำนักงานการตวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เข้ามาตรวจสอบการใช้งบประมาณของ ททท.ด้วย
**ปลุกรัฐบาลตื่น 14 ล้านคนแค่ความฝัน******
ทั้งนี้เพราะจากการที่รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมายืนยันว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้จะสามารถทำได้ถึง 14 ล้านคนแน่นอน โดยจะใช้วิธีการทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อส่งเสริมการตลาดแบบถึงตรงกลุ่มทัวร์และนักท่องเที่ยว(ฮาร์ดเซล)เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน
โดยภาคเอกชนในวงการท่องเที่ยว ซึ่งมีประสบการณ์การทำธุรกิจมานาน และใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด มองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้หากทำได้อย่างเต็มที่ก็เพียง 10 ล้านคน ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ซึ่งการที่ภาครัฐออกมาพูดตัวเลข 14 ล้านคนอย่างมั่นใจ สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเข้าใจอุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง หรืออาจได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด บิดเบือนความเป็นจริง
***การเมือง-ค่าบาทแข็งต่างชาติเมินเที่ยวไทย****
เพราะแม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะส่งสัญญาณฟื้นตัวแล้วก็ตาม แต่ ในระยะแรก ประชาชนที่รับรับผลกระทบยังไม่มีความมั่นใจเต็มที่ จึงยังคงระมัดระวังการจับจ่ายต่อไปสักอีกระยะ ประกอบกับปัจจัยลบในอีก 2 ประเด็นหลัก ที่สำคัญ ได้แก่ 1.ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเงินของยุโรปและอังกฤษ เงินบาทแข็งขึ้นถึง 20% ทำให้นักท่องเที่ยวต้องจ่ายแพงขึ้น และ 2.สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ที่มีข่าวการนัดชุมนุมของกลุ่มต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาพของการปิดสนามบิน และเหตุการณ์ล้มการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา ทำให้ชาวต่างชาติยังหวาดกลัว และสนใจที่จะเฝ้าติดตามการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจเดินทางเข้ามาในช่วงนี้
สำหรับตลาดสแกน ซึ่งเป็นเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่จะเดินทางเข้ามาช่วงไฮซีซั่นของทุกปี ล่าสุด ปีนี้ มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่า จำนวนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์)ที่จะมาลงกรุงเทพถูกยกเลิกไปสัปดาห์ละ 2 เที่ยว หรือราว 700 คน ทำให้คาดว่าระเวลา 5 เดือน (พ.ย.-มี.ค.) เฉพาะตลาดแสกนจะหายไป 1.5 หมื่นคน สูญเสียรายได้ กว่า 840 ล้านบาท
ส่วนแผนกระตุ้นตลาดตะวันออกกลางคงเป็นไปได้ยาก เพราะว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงถือศีลอด ซึ่งชาวอิสลามจะไม่เดินทางท่องเที่่ยวอยู่แล้ว
“ต้องยอมรับว่าการเมืองของไทยเป็นที่สนใจของชาวโลกไปแล้ว ซึ่งเฉพาะพื้นที่กรุงเทพ ตลาดสแกนจะหายไปไม่น้อยกว่า 35% เพราะคนที่ยังมาแต่ปรับวิธีเที่ยวโดยไม่แวะกรุงเทพ แต่มุ่งไปจังหวัดที่พักเลย ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า ยอดจองห้องพักช่วงไฮซีซั่นปีนี้เทียบกับปีก่อนลดลงเฉลี่ยจังหวัดละ 30-40% เช่น จ.กระบี่ลดลง 30% เกาะลันตาลดลง 40% เขาหลัก ก็ยังมีการจองที่น้อยสะท้อนว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวยังไม่เดินทางมา ส่วนกลุ่มที่จะมาก็คอยระยะใกล้ เพื่อจะได้ราคาถูก”
นายอภิชาติ กล่าวว่า แนวทางการคิดแผนการทำงานของ กระทรวงการท่องเที่ยวฯและ ททท. ยังตอบโจทย์ได้ไม่ตรงจุด ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ยังคงมีรูปแบบการทำตลาดแบบเดิมๆ ไม่เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง แผนส่งเสริมแบบอินมาร์เก็ต ที่หยิบขึ้นมาใช้ก็ตอบโจทย์ได้เพียงบางตลาด เช่น จีน เป็นต้น ส่วนตลาดอื่นๆ ต้องใช้วิธีอื่น เช่นคุยกับโฮลเซลเลอรรายใหญ่ในแต่ละตลาดจัดโปรโมทชั่นร่วมกัน หรือการโฆษณาบนป้ายขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจให้มากๆ
****นักท่องเที่ยวผ่านแอตต้าวูบ50%***
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเดือน สิงหาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางผ่านแอตต้าเพียง 9 หมื่นคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 1.8 แสนคนลดลง 50% ส่วน 8 เดือนแรกปีนี้ เทียนบกับปีก่อน ลดลงเฉลี่ย 40%
นายอภิชาติ กล่าวอีว่า สำหรับการรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกด่านเข้าเมือง 5 เดือนแรก 5.6 ล้านคน เป็นการจัดเก็บที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะถ้าเป็นผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจริงๆไม่น่าจะถึง แต่หน่วยงานที่จัดเก็บอาจนับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าของประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางเข้ามาขายสินค้าตามตะเข็บชายแดนไทยเข้าไปด้วย การหารือของคณะกรรมการเฟสต้า เราจำนะตัวเลขจริงมาพูดหารือกัน เพื่อปลุกให้ทุกคนตื่นจากความฝัน อย่างกลัวที่จะพูดความจริง เพราะขณะนี้มีหลายโรงแรมที่แบกรับการขาดทุนไม่ไหวและต้องการจะขายกิจการจำนวนมาก ส่วนโรงแรมในกรุงเทพมีอัตราเข้าพักเหลือไม่ถึง 30%