ซี.วี.เอส.ชี้ วิกฤตเศรษฐกิจกระทบตลาดสินค้านำเข้าหืดขึ้นคอรอบ 12 ปี โอดเบียร์โคโรน่า-มิลเลอร์ เจอมรสุมนักท่องเที่ยวต่างประเทศวูบ คอเบียร์กำลังซื้อลด ยอด 5 เดือนวูบ 20% ปรับเกมรบหั่นงบการตลาดเหลือ 30 ล้านบาท ชะลอแผนนำเข้าเบียร์เม็กซิโก
นายปรีชา ชินรุจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.วี.เอส.ซินดิเคท จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำแร่ฟิจิ วอเตอร์ เบียร์โคโรน่า และ มิลเลอร์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปัญหาความวุ่นวายการเมืองในไทย การแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมสินค้านำเข้าโดยรวมของประเทศลดลงกว่า 63% หนักสุดในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากกระทบต่อพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งปกติสินค้านำเข้าฐานลูกค้ามาจากต่างประเทศเป็นหลัก แต่พบว่า นักท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาลดลง 30% ส่วนตลาดคนไทยก็ระวังการใช้จ่าย
“ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว ต้นทุนนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ปีนี้ค่าเงิน 34 บาทต่อดอลลาร์อยู่ในระดับที่ดี แต่เราต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ กระทบผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กำลังซื้อลดลง และเกิดภาวะเงินฝืด”
ปีนี้จะใช้งบ 25-30 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว ปรับงบมาเน้นบีโลว์เดอะไลน์มากกว่าการทำอะโบฟเดอะไลน์ และมุ่งโปรโมชัน ชะลอการนำเข้าเบียร์จากเม็กซิโก ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของตลาด ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าแทน จากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจานำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5-6 รายเข้ามาทำตลาด ได้แก่ จีน ออสเตรเลีย รัสเซีย อเมริกา และ เยอรมนี โดยสินค้านำเข้าของบริษัทเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับเอบวกขึ้นไป
ล่าสุด บริษัทได้นำเข้าน้ำแร่ภายใต้แบรนด์ฟิจิ จากประเทศนิวซีแลนด์ โดยจะดำเนินกลยุทธ์การใช้เซเลบริตี ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ถึงความแตกต่างจากน้ำแร่คู่แข่ง เนื่องจากมีราคาสูงกว่าน้ำแร่เอเวียงผู้นำตลาดกว่า 25% โดยขนาด 330 มล. ราคา 35 บาท จะใช้งบตลาด 10 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับไฮเอนด์ แบ่งเป็น กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 50% และคนไทย 50% วางจำหน่ายผ่านช่องทางโรงแรม ร้านอาหารระดับพรีเมียม โฮมดีลิเวอรี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต อาทิ ฟู้ดแลนด์ วิลล่า มาร์เก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่า น้ำแร่ฟิจิ จะเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 20% ทดแทนกลุ่มเครื่องดื่มเบียร์มิลเลอร์และโคโรน่าในช่วง 5 เดือน รายได้หดตัว 20% จากวิกฤตเศรษฐกิจ
ตลาดน้ำแร่นำเข้ามูลค่า 300 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีการเติบโตลดลง อย่างไรก็ตามจากปัจจุบันน้ำแร่ฟิจิ เป็นผู้นำตลาดในอเมริกาแทนที่น้ำแร่เอเวียง บริษัทจึงมั่นใจว่า ภายใน 3 ปี จากนี้ฟิจิจะขึ้นเป็นมาคู่แข่งสำคัญกับน้ำแร่เอเวียง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ส่วนน้ำแร่เปอริเอ้ อันดับ 2 โดยเป้าหมายน้ำแร่ฟิจิปีแรก มีส่วนแบ่ง 10% หรือมีรายได้ 30 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ของตลาด และจากการเปิดตัวน้ำแร่คาดว่าจะสามารถรักษารายได้ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้ลอจิสติกส์ให้กับบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ 90% และอีก 10% เป็นเบียร์โคโรน่า มิลเลอร์ และฟิจิ
นายปรีชา ชินรุจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.วี.เอส.ซินดิเคท จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำแร่ฟิจิ วอเตอร์ เบียร์โคโรน่า และ มิลเลอร์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปัญหาความวุ่นวายการเมืองในไทย การแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมสินค้านำเข้าโดยรวมของประเทศลดลงกว่า 63% หนักสุดในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากกระทบต่อพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งปกติสินค้านำเข้าฐานลูกค้ามาจากต่างประเทศเป็นหลัก แต่พบว่า นักท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาลดลง 30% ส่วนตลาดคนไทยก็ระวังการใช้จ่าย
“ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว ต้นทุนนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ปีนี้ค่าเงิน 34 บาทต่อดอลลาร์อยู่ในระดับที่ดี แต่เราต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ กระทบผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กำลังซื้อลดลง และเกิดภาวะเงินฝืด”
ปีนี้จะใช้งบ 25-30 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว ปรับงบมาเน้นบีโลว์เดอะไลน์มากกว่าการทำอะโบฟเดอะไลน์ และมุ่งโปรโมชัน ชะลอการนำเข้าเบียร์จากเม็กซิโก ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของตลาด ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าแทน จากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจานำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5-6 รายเข้ามาทำตลาด ได้แก่ จีน ออสเตรเลีย รัสเซีย อเมริกา และ เยอรมนี โดยสินค้านำเข้าของบริษัทเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับเอบวกขึ้นไป
ล่าสุด บริษัทได้นำเข้าน้ำแร่ภายใต้แบรนด์ฟิจิ จากประเทศนิวซีแลนด์ โดยจะดำเนินกลยุทธ์การใช้เซเลบริตี ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ถึงความแตกต่างจากน้ำแร่คู่แข่ง เนื่องจากมีราคาสูงกว่าน้ำแร่เอเวียงผู้นำตลาดกว่า 25% โดยขนาด 330 มล. ราคา 35 บาท จะใช้งบตลาด 10 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับไฮเอนด์ แบ่งเป็น กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 50% และคนไทย 50% วางจำหน่ายผ่านช่องทางโรงแรม ร้านอาหารระดับพรีเมียม โฮมดีลิเวอรี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต อาทิ ฟู้ดแลนด์ วิลล่า มาร์เก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่า น้ำแร่ฟิจิ จะเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 20% ทดแทนกลุ่มเครื่องดื่มเบียร์มิลเลอร์และโคโรน่าในช่วง 5 เดือน รายได้หดตัว 20% จากวิกฤตเศรษฐกิจ
ตลาดน้ำแร่นำเข้ามูลค่า 300 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีการเติบโตลดลง อย่างไรก็ตามจากปัจจุบันน้ำแร่ฟิจิ เป็นผู้นำตลาดในอเมริกาแทนที่น้ำแร่เอเวียง บริษัทจึงมั่นใจว่า ภายใน 3 ปี จากนี้ฟิจิจะขึ้นเป็นมาคู่แข่งสำคัญกับน้ำแร่เอเวียง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ส่วนน้ำแร่เปอริเอ้ อันดับ 2 โดยเป้าหมายน้ำแร่ฟิจิปีแรก มีส่วนแบ่ง 10% หรือมีรายได้ 30 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ของตลาด และจากการเปิดตัวน้ำแร่คาดว่าจะสามารถรักษารายได้ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้ลอจิสติกส์ให้กับบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ 90% และอีก 10% เป็นเบียร์โคโรน่า มิลเลอร์ และฟิจิ