อาร์เอส ผนึกช่อง 3 และช่อง 7 ในฐานะถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกปีหน้า แย้มขายสปอนเซอร์ชิป 2 แพกเกจ พร้อมอัดอีเวนต์สร้างกระแส มั่นใจสร้างรายได้ 500 ล้านบาท
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส เปิดเผยว่า จากการที่ อาร์เอส ได้ลิขสิทธิ์บอลโลกปี 2010 ล่าสุด ได้จับมือกับทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ในฐานะ Strategic partners ในการดำเนินการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA WORLD CUP SOUTH AFRICA 2010) ที่จะมีขึ้นประมาณกลางปีหน้า โดยคนไทยจะสามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันทั้งหมด 64 แมตช์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.-11 ก.ค.2553
สำหรับการร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นลักษณะของการซื้อเวลา แล้วทั้ง 3 พาร์ทเนอร์จะมีการทำกลยุทธ์ร่วมกันทั้งในเรื่องของการขายสปอนเซอร์ชิป และเรื่องของการถ่ายทอดสด เบื้องต้นจะเริ่มมีการทำรายการพิเศษ เพื่อเรียกกระแสปูพรมก่อนเข้าสู่การแข่งขันอีก 4-5 รายการ รวมทั้งเรื่องของการจัดอีเวนต์ ซึ่งทั้ง 2 สถานี สามารถขายโฆษณาหาสปอนเซอร์ได้ทั้ง 2 ฝ่ายแล้วนำมาแชร์กัน ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ จะแบ่งกันทั้ง 3 บริษัท
ทั้งนี้ ในส่วนของสปอนเซอร์ชิปนั้น จะมีแพกเกจการขายอยู่ 2 แบบ คือ แพลทินัม แพกเกจ ราคา 50 ล้านบาท สามารถโฆษณาได้ 2.30 นาที ในแต่ละแมตช์การแข่งขัน ซึ่งขณะนี้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว 2 ราย คือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ยามาฮ่า และกำลังสรุปผลอีกหลายราย และ 2.โกลด์ แพกเกจ ราคา 30 ล้านบาท ลูกค้าสามารถโฆษณาผ่านการแข่งขันได้ 1.30 นาที ในทุกแมตช์ ทั้งนี้ มองว่า จะมีสปอนเซอร์ชิปแบบแพลทินัม แพกเกจ ราว 4-6 ราย
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ถือว่าโชคดีในแง่ของเวลาในการแข่ง เพราะเป็นช่วงไพรม์ไทม์ในบ้านเรา คือ 18.00 น., 21.00 น.และ 01.00 น.โดย 2 ช่วงเวลาแรกมีกว่า 34 แมตช์ที่จะแข่งขัน บวกกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เริ่มส่งสัญญาณว่าจะดีขึ้นในไตรมาสสี่นี้ ปีหน้าจึงมองว่าการได้ลิขสิทธิ์การแข่งขันครั้งนี้ จะมีรายได้และกำไรเข้ามาอย่างน้อย 500 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากการถ่ายทอดสด และการขายสปอนเซอร์ชิป ส่วนรายได้ของอาร์เอส ปีนี้คาดรายได้จะอยู่ที่ 2,400-2,600 ล้านบาท โดยตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นมา เริ่มมีกำไรบ้างแล้ว หลังจากนี้ เชื่อว่า จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มดีขึ้น จะส่งผลต่อรายได้ให้กลับมาดีขึ้นและมีกำไรมากขึ้นต่อไป
ด้าน นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวว่า ฟุตบอลโลกครั้งนี้ เชื่อว่า จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์ในปีหน้าขยับตัวสูงขึ้น หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมโทรทัศน์ทรงตัว ซึ่งการขายโฆษณาในช่วงไพรม์ไทม์ครั้งนี้ ซึ่งอาจจะตรงกับเวลาละครช่วงไพรม์ไทม์ มองว่า ลูกค้าจะสนใจที่จะซื้อโฆษณามากขึ้น เพราะถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สามารถสร้างการรับรู้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบรายได้โฆษณาจากโปรแกรมการแข่งขันครั้งนี้แล้ว ถือว่าสูงกว่าราคาโฆษณาที่ขายอยู่ในปัจจุบัน จากโปรแกรมละครหลังข่าวด้วย
นายสมพงษ์ อัชฌานุเคราะห์ ผู้จัดการฝ่าย สังกัดสำนักประธานกรรมการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 กล่าวเสริมว่า เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่จะดีขึ้น จะทำให้ภาพรวมรายได้ที่จะมาจากการขายสปอนเซอร์ชิปของฟุตบอลโลกมีรายได้เป็นไปตามที่วางไว้ นอกจากนี้ทางกลุ่มยังจะมีการเจรจากับทางฟรีทีวีอีก 1 ช่องในลักษณะของการซื้อเวลาเพื่อถ่ายทอดสดการแข่งขันในแมตช์ที่มีการแข่งชนกันด้วย คาดว่า ในอีก 2 อาทิตย์ที่จะถึงนี้จะสรุปผลได้ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องใด
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส เปิดเผยว่า จากการที่ อาร์เอส ได้ลิขสิทธิ์บอลโลกปี 2010 ล่าสุด ได้จับมือกับทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ในฐานะ Strategic partners ในการดำเนินการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA WORLD CUP SOUTH AFRICA 2010) ที่จะมีขึ้นประมาณกลางปีหน้า โดยคนไทยจะสามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันทั้งหมด 64 แมตช์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.-11 ก.ค.2553
สำหรับการร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นลักษณะของการซื้อเวลา แล้วทั้ง 3 พาร์ทเนอร์จะมีการทำกลยุทธ์ร่วมกันทั้งในเรื่องของการขายสปอนเซอร์ชิป และเรื่องของการถ่ายทอดสด เบื้องต้นจะเริ่มมีการทำรายการพิเศษ เพื่อเรียกกระแสปูพรมก่อนเข้าสู่การแข่งขันอีก 4-5 รายการ รวมทั้งเรื่องของการจัดอีเวนต์ ซึ่งทั้ง 2 สถานี สามารถขายโฆษณาหาสปอนเซอร์ได้ทั้ง 2 ฝ่ายแล้วนำมาแชร์กัน ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ จะแบ่งกันทั้ง 3 บริษัท
ทั้งนี้ ในส่วนของสปอนเซอร์ชิปนั้น จะมีแพกเกจการขายอยู่ 2 แบบ คือ แพลทินัม แพกเกจ ราคา 50 ล้านบาท สามารถโฆษณาได้ 2.30 นาที ในแต่ละแมตช์การแข่งขัน ซึ่งขณะนี้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว 2 ราย คือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ยามาฮ่า และกำลังสรุปผลอีกหลายราย และ 2.โกลด์ แพกเกจ ราคา 30 ล้านบาท ลูกค้าสามารถโฆษณาผ่านการแข่งขันได้ 1.30 นาที ในทุกแมตช์ ทั้งนี้ มองว่า จะมีสปอนเซอร์ชิปแบบแพลทินัม แพกเกจ ราว 4-6 ราย
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ถือว่าโชคดีในแง่ของเวลาในการแข่ง เพราะเป็นช่วงไพรม์ไทม์ในบ้านเรา คือ 18.00 น., 21.00 น.และ 01.00 น.โดย 2 ช่วงเวลาแรกมีกว่า 34 แมตช์ที่จะแข่งขัน บวกกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เริ่มส่งสัญญาณว่าจะดีขึ้นในไตรมาสสี่นี้ ปีหน้าจึงมองว่าการได้ลิขสิทธิ์การแข่งขันครั้งนี้ จะมีรายได้และกำไรเข้ามาอย่างน้อย 500 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากการถ่ายทอดสด และการขายสปอนเซอร์ชิป ส่วนรายได้ของอาร์เอส ปีนี้คาดรายได้จะอยู่ที่ 2,400-2,600 ล้านบาท โดยตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นมา เริ่มมีกำไรบ้างแล้ว หลังจากนี้ เชื่อว่า จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มดีขึ้น จะส่งผลต่อรายได้ให้กลับมาดีขึ้นและมีกำไรมากขึ้นต่อไป
ด้าน นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวว่า ฟุตบอลโลกครั้งนี้ เชื่อว่า จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์ในปีหน้าขยับตัวสูงขึ้น หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมโทรทัศน์ทรงตัว ซึ่งการขายโฆษณาในช่วงไพรม์ไทม์ครั้งนี้ ซึ่งอาจจะตรงกับเวลาละครช่วงไพรม์ไทม์ มองว่า ลูกค้าจะสนใจที่จะซื้อโฆษณามากขึ้น เพราะถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สามารถสร้างการรับรู้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบรายได้โฆษณาจากโปรแกรมการแข่งขันครั้งนี้แล้ว ถือว่าสูงกว่าราคาโฆษณาที่ขายอยู่ในปัจจุบัน จากโปรแกรมละครหลังข่าวด้วย
นายสมพงษ์ อัชฌานุเคราะห์ ผู้จัดการฝ่าย สังกัดสำนักประธานกรรมการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 กล่าวเสริมว่า เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่จะดีขึ้น จะทำให้ภาพรวมรายได้ที่จะมาจากการขายสปอนเซอร์ชิปของฟุตบอลโลกมีรายได้เป็นไปตามที่วางไว้ นอกจากนี้ทางกลุ่มยังจะมีการเจรจากับทางฟรีทีวีอีก 1 ช่องในลักษณะของการซื้อเวลาเพื่อถ่ายทอดสดการแข่งขันในแมตช์ที่มีการแข่งชนกันด้วย คาดว่า ในอีก 2 อาทิตย์ที่จะถึงนี้จะสรุปผลได้ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องใด