กลุ่มเดสติเนชั่นฯ ไม่กลัวน้ำร้อน เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมยันปีนี้เปิดเพิ่มอีก 2 โรง ชูระบบการบริการลูกค้าเหนือคู่แข่งขัน คุยคอร์ทยาร์ดชะอำปลุกชีพเดสติเนชันพลิกรับนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์เทียบชั้นหัวหิน ส่วนฮิลตันหัวหินปรับแผนเปิดรับกรุ๊ปแต่งงานจากอินเดียต่อลมหายใจ
นายเจค วิโกด้า ประธาน บริษัท เดสติเนชั่น พร็อพเพอร์ตี้ส์ เจ้าของธุรกิจโรงแรม ภายใต้แบรนด์ โรงแรมคอร์ทยาร์ด ในเครือแมริออท และ โรงแรมฮิลตัน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการอยู่ 6 แห่ง ที่ ภูเก็ต ชะอำ โดยปีนี้เตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งจะใช้แบรนด์ ดับเบิลทรี บาย ฮิลตัล เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ และอีก 1 แห่งที่หาดกมลา จ.ภูเก็ต โดยบริษัทยังคงแผนธุรกิจตามเดิม แม้จะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น เพราะมั่นใจว่า จะพลิกฟื้นได้ในระยะเวลาสั้น อีกทั้งกลยุทธ์เรื่องการให้บริการเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน เรามีความคุ้มค่าเงินมากกว่า
นายริชาร์ด วาลเลซ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมคอร์ทยาร์ด ชะอำ (Courtyard by Marriott) กล่าวว่า จุดแข็งที่ใช้เป็นจุดขายสำคัญของโรงแรมเรา คือ เป็นระดับ 4.5 ดาว ที่สามารถรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาวด้วยการใช้กลยุทธ์การบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งระดับนักธุรกิจ กลุ่มครอบครัว และ คอร์ปอเรท โดยแผนตลาดปีนี้ จะเน้นตลาดคอร์ปอเรทมากขึ้น เพราะจากภาวะเศรษฐกิจโลกอาจทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางลดลง โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายมีอัตราเข้าพักรวม 60% ก็พอ เพราะโรงแรมระดับเดียวกันในย่านนี้จะมีอัตราเข้าพักทั้งปีประมาณ 50-55%
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มรู้จักหัวหินและชะอำมากขึ้น และเลือกที่จะใช้เป็นสถานที่พักผ่อน ซึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนสร้างโรงแรมกันมากขึ้น จึงเกิดการแข่งขันกันทำตลาด โดยเฉพาะในพื้นที่ชะอำ ที่จะเห็นว่า มีโรงแรมระดับอินเตอร์เชนเปิดให้บริการเพิ่มขึ้น เช่น โรงแรม ฮอลิเดย์อินน์ เชอราตัน ดุสิตธานี และ คอร์ทยาร์ด ชะอำ แห่งนี้ จึงสามารถนำนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์เข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้น ลดความแตกต่างระหว่างนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ที่หัวหิน และนักท่องเที่ยวระดับกลางที่ชะอำให้ตลาดมีช่องที่แคบขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การผสมผสานตลาดไม่ให้เกิดความแตกต่าง
“โรงแรมเราเพิ่งเปิดให้บริการได้ 6 เดือน อัตราเข้าพักเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป 60% คอร์ปอเรท 40% แต่จากการบุกตลาดจัดเป็นแพกเกจไปนำเสนอขายเชื่อว่าถึงสิ้นปี สัดส่วนลูกค้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างละ 50% เท่ากัน”
ทางด้าน นายมาร์คัส ชมิดท์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา กล่าวว่า ปีนี้ทางโรงแรมจะเน้นไดเรกเซลล์ เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายให้มากและถี่ขึ้น โดยจะใช้กลยุทธ์จัดแพกเกจลดราคาห้องพักเป็นระยะๆ ประเมินตามความเหมาะสมของสภาพตลาดในขณะนั้น ซึ่งยอมรับว่า จากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องทำงานใกล้ชิดตลาดมากขึ้น รักษาฐานลูกค้าเก่าเพิ่มลูกค้าใหม่ โดยโรงแรมมีลูกค้าประจำที่มาซ้ำถึง 40% ตลาดใหม่ที่จะบุกเพิ่มเช่น อินเดีย เป็นตลาดแต่งงาน ล่าสุดปีนี้มีจองเข้ามาแล้ว 2 งานๆ ละ 200 คน จะเดินทางเดือนสิงหาคม
“เรามีความมั่นใจว่า หลังการจัดงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จะช่วยกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมถึงตลาดในภูมิภาคเดียวกันในอาเซียนจะรู้จักประเทศไทย และแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา เพราะความหลากหลายทางแหล่งท่องเที่ยวและความคุ้มค่าเงิน ซึ่ง ฮิลตัน ได้เปรียบคู่แข่งขันในย่านเดียวกันที่โลเกชันที่ตั้งอยู่ในเมืองหัวหิน เดินทางสะดวก และเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ รับกรุ๊ปสัมมนาได้มากสุดกว่า 500 คน”
นายเจค วิโกด้า ประธาน บริษัท เดสติเนชั่น พร็อพเพอร์ตี้ส์ เจ้าของธุรกิจโรงแรม ภายใต้แบรนด์ โรงแรมคอร์ทยาร์ด ในเครือแมริออท และ โรงแรมฮิลตัน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการอยู่ 6 แห่ง ที่ ภูเก็ต ชะอำ โดยปีนี้เตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งจะใช้แบรนด์ ดับเบิลทรี บาย ฮิลตัล เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ และอีก 1 แห่งที่หาดกมลา จ.ภูเก็ต โดยบริษัทยังคงแผนธุรกิจตามเดิม แม้จะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น เพราะมั่นใจว่า จะพลิกฟื้นได้ในระยะเวลาสั้น อีกทั้งกลยุทธ์เรื่องการให้บริการเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน เรามีความคุ้มค่าเงินมากกว่า
นายริชาร์ด วาลเลซ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมคอร์ทยาร์ด ชะอำ (Courtyard by Marriott) กล่าวว่า จุดแข็งที่ใช้เป็นจุดขายสำคัญของโรงแรมเรา คือ เป็นระดับ 4.5 ดาว ที่สามารถรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาวด้วยการใช้กลยุทธ์การบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งระดับนักธุรกิจ กลุ่มครอบครัว และ คอร์ปอเรท โดยแผนตลาดปีนี้ จะเน้นตลาดคอร์ปอเรทมากขึ้น เพราะจากภาวะเศรษฐกิจโลกอาจทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางลดลง โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายมีอัตราเข้าพักรวม 60% ก็พอ เพราะโรงแรมระดับเดียวกันในย่านนี้จะมีอัตราเข้าพักทั้งปีประมาณ 50-55%
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มรู้จักหัวหินและชะอำมากขึ้น และเลือกที่จะใช้เป็นสถานที่พักผ่อน ซึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนสร้างโรงแรมกันมากขึ้น จึงเกิดการแข่งขันกันทำตลาด โดยเฉพาะในพื้นที่ชะอำ ที่จะเห็นว่า มีโรงแรมระดับอินเตอร์เชนเปิดให้บริการเพิ่มขึ้น เช่น โรงแรม ฮอลิเดย์อินน์ เชอราตัน ดุสิตธานี และ คอร์ทยาร์ด ชะอำ แห่งนี้ จึงสามารถนำนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์เข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้น ลดความแตกต่างระหว่างนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ที่หัวหิน และนักท่องเที่ยวระดับกลางที่ชะอำให้ตลาดมีช่องที่แคบขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การผสมผสานตลาดไม่ให้เกิดความแตกต่าง
“โรงแรมเราเพิ่งเปิดให้บริการได้ 6 เดือน อัตราเข้าพักเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป 60% คอร์ปอเรท 40% แต่จากการบุกตลาดจัดเป็นแพกเกจไปนำเสนอขายเชื่อว่าถึงสิ้นปี สัดส่วนลูกค้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างละ 50% เท่ากัน”
ทางด้าน นายมาร์คัส ชมิดท์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา กล่าวว่า ปีนี้ทางโรงแรมจะเน้นไดเรกเซลล์ เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายให้มากและถี่ขึ้น โดยจะใช้กลยุทธ์จัดแพกเกจลดราคาห้องพักเป็นระยะๆ ประเมินตามความเหมาะสมของสภาพตลาดในขณะนั้น ซึ่งยอมรับว่า จากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องทำงานใกล้ชิดตลาดมากขึ้น รักษาฐานลูกค้าเก่าเพิ่มลูกค้าใหม่ โดยโรงแรมมีลูกค้าประจำที่มาซ้ำถึง 40% ตลาดใหม่ที่จะบุกเพิ่มเช่น อินเดีย เป็นตลาดแต่งงาน ล่าสุดปีนี้มีจองเข้ามาแล้ว 2 งานๆ ละ 200 คน จะเดินทางเดือนสิงหาคม
“เรามีความมั่นใจว่า หลังการจัดงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จะช่วยกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมถึงตลาดในภูมิภาคเดียวกันในอาเซียนจะรู้จักประเทศไทย และแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา เพราะความหลากหลายทางแหล่งท่องเที่ยวและความคุ้มค่าเงิน ซึ่ง ฮิลตัน ได้เปรียบคู่แข่งขันในย่านเดียวกันที่โลเกชันที่ตั้งอยู่ในเมืองหัวหิน เดินทางสะดวก และเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ รับกรุ๊ปสัมมนาได้มากสุดกว่า 500 คน”