เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินแผนรุกต้นปี รับมือวิกฤตเศรษฐกิจ กระทบธุรกิจค้าปลีกหืดขึ้นคอ หลังเดือน ธ.ค.ยอดหด 10% ทุบประวัติศาสตร์วูบครั้งแรกในรอบ 27 ปี กระทบเป้าสิ้นปี คาด โตทะลุ 5% ปรับตัวชูกลยุทธ์การตลาด 5F หวังดันผลประกอบการสิ้นปีโต 5% กวาด 4 หมื่นล้านบาท ปูพรมส่งกิจกรรมวันเด็ก “เดอะมอลล์ คิดส์ ฟันเทเซีย” มัดใจกลุ่มครอบครัว หวังกระตุ้นยอดขาย 15%
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในปีนี้ต้องขยันทำงานมากขึ้น เพราะเป็นปีที่การดำเนินธุรกิจไม่ได้ง่าย และต้องเหนื่อยมาก จึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้วางกลยุทธ์ 5F เพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก และในประเทศเองด้วย
ประกอบด้วย 1.Focus การปรับตัวดำเนินการตลาดอย่างเข้มข้นมีเซกเมนต์มากขึ้น เชื่อมโยงกับการทำลอยัลตี โปรแกรม และการทำซีอาร์เอ็ม จากเดิมเน้นเป็นแมส หรือยึดความหลากหลาย 2.Fact การดำเนินการตลาดบนพื้นฐานความจริง นำข้อมูลมาพิจารณาและปรับจุดแข็ง จากหลายปีที่ผ่านมาใช้กลยุทธ์สร้างความมหัศจรรย์ ทำให้ใช้งบประมาณที่ฟุ่มเฟือยเกินไป 3.Fusion การดำเนินการตลาดแบบผสมผสานสิ่งดีๆ ไว้รวมกัน 4.Fresh ความสดใหม่ มีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และ 5.Fast Moving ดำเนินการเร็ว แรง รุกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การเน้นฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินธุรกิจ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถ้าไม่เตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี อาจจะลำบาก ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีเผาจริง แต่ปีนี้เป็นปีเก็บกระดูก โดยพบว่า ยอดขายในช่วงไฮซีซัน หรือช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา หดตัว 10% จากปกติเติบโต 40-50% นับว่าเป็นการหดตัวลงมากที่สุดในรอบ 27 ปี ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เนื่องจากปกติในช่วงเวลาดังกล่าว ลูกค้าจะออกมาจับจ่ายใช้สอย แต่ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองขาดเสถียรภาพ พฤติกรรมการซื้อของขวัญช่วงปีใหม่ จึงลดลง ส่งผลให้รายได้ดีพาร์ตเมนต์ลดลง โดยกลุ่มสินค้ายอดขายลดลง คือ เสื้อผ้าและเครื่องสำอาง ซึ่งปกติลูกค้าจะซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต ยอดขายไม่ตกลง ทั้งนี้ ยอดขายช่วงเดือนธันวาคมตกลง ทำให้ผลประกอบการของเดอะมอลล์ กรุ๊ป (เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม พารากอน) โต 5% หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดว่าโตทะลุ 5% เนื่องจากผลประกอบการ 11 เดือน เติบโต 7-8%
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา จึงเป็นบทเรียน และเชื่อว่า ธุรกิจค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมา คงได้รับผลกระทบไม่แตกต่างจากเดอะมอลล์ กรุ๊ป มากนัก ดังนั้น ต้องปรับปรุง เพื่อรองรับกับปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปีที่เหนื่อย ทั้งนี้ เพื่อให้ผลประกอบการปีนี้เติบโต 3-5% หรือมีรายได้ 4 หมื่นล้านบาท เดอะมอลล์ ดำเนินการตลาดเชิงรุกตั้งแต่ต้นปี ภายใต้การใช้งบการตลาด 3-5% ของรายได้ โดยไม่มีแผนที่จะลดงบการตลาดลง ล่าสุด ทุ่มงบ 5 ล้านบาท จัดกิจกรรมเดอะมอลล์ คิดส์ ฟันเทเซีย เพื่อต้อนรับวันเด็กในระหว่างวันที่ 10-11 มกราคม นี้ โดยปีนี้จำลองฟาร์มปศุสัตว์สไตล์คาวบอยให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน ซึ่งมีไฮไลต์ที่สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน คาดว่า ในช่วงวันเด็กจะดึงดูดลูกค้าเข้ามาชมงาน และจับจ่ายในห้างเพิ่มขึ้นกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมอื่นๆ อาทิ ตรุษจีน งานประมงน้อมใจไทยทั่วหล้า งานพฤกษาสยาม เป็นต้น
“ปีนี้มีปัจจัยบวกด้านการมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ แต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ซึ่งต้องรอดูว่าผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีก อยากให้ภาครัฐช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้ฟื้นกลับคืนมาเร็วที่สุด เพราะมองว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาต้องรอ 5-6 เดือน และผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปีนี้บริษัทหวังว่าจะมีอัตราการเติบโต 5% ได้ก็ถือว่าตามเป้า” นายชำนาญ กล่าว
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในปีนี้ต้องขยันทำงานมากขึ้น เพราะเป็นปีที่การดำเนินธุรกิจไม่ได้ง่าย และต้องเหนื่อยมาก จึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้วางกลยุทธ์ 5F เพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก และในประเทศเองด้วย
ประกอบด้วย 1.Focus การปรับตัวดำเนินการตลาดอย่างเข้มข้นมีเซกเมนต์มากขึ้น เชื่อมโยงกับการทำลอยัลตี โปรแกรม และการทำซีอาร์เอ็ม จากเดิมเน้นเป็นแมส หรือยึดความหลากหลาย 2.Fact การดำเนินการตลาดบนพื้นฐานความจริง นำข้อมูลมาพิจารณาและปรับจุดแข็ง จากหลายปีที่ผ่านมาใช้กลยุทธ์สร้างความมหัศจรรย์ ทำให้ใช้งบประมาณที่ฟุ่มเฟือยเกินไป 3.Fusion การดำเนินการตลาดแบบผสมผสานสิ่งดีๆ ไว้รวมกัน 4.Fresh ความสดใหม่ มีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และ 5.Fast Moving ดำเนินการเร็ว แรง รุกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การเน้นฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินธุรกิจ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถ้าไม่เตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี อาจจะลำบาก ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีเผาจริง แต่ปีนี้เป็นปีเก็บกระดูก โดยพบว่า ยอดขายในช่วงไฮซีซัน หรือช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา หดตัว 10% จากปกติเติบโต 40-50% นับว่าเป็นการหดตัวลงมากที่สุดในรอบ 27 ปี ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เนื่องจากปกติในช่วงเวลาดังกล่าว ลูกค้าจะออกมาจับจ่ายใช้สอย แต่ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองขาดเสถียรภาพ พฤติกรรมการซื้อของขวัญช่วงปีใหม่ จึงลดลง ส่งผลให้รายได้ดีพาร์ตเมนต์ลดลง โดยกลุ่มสินค้ายอดขายลดลง คือ เสื้อผ้าและเครื่องสำอาง ซึ่งปกติลูกค้าจะซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต ยอดขายไม่ตกลง ทั้งนี้ ยอดขายช่วงเดือนธันวาคมตกลง ทำให้ผลประกอบการของเดอะมอลล์ กรุ๊ป (เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม พารากอน) โต 5% หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดว่าโตทะลุ 5% เนื่องจากผลประกอบการ 11 เดือน เติบโต 7-8%
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา จึงเป็นบทเรียน และเชื่อว่า ธุรกิจค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมา คงได้รับผลกระทบไม่แตกต่างจากเดอะมอลล์ กรุ๊ป มากนัก ดังนั้น ต้องปรับปรุง เพื่อรองรับกับปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปีที่เหนื่อย ทั้งนี้ เพื่อให้ผลประกอบการปีนี้เติบโต 3-5% หรือมีรายได้ 4 หมื่นล้านบาท เดอะมอลล์ ดำเนินการตลาดเชิงรุกตั้งแต่ต้นปี ภายใต้การใช้งบการตลาด 3-5% ของรายได้ โดยไม่มีแผนที่จะลดงบการตลาดลง ล่าสุด ทุ่มงบ 5 ล้านบาท จัดกิจกรรมเดอะมอลล์ คิดส์ ฟันเทเซีย เพื่อต้อนรับวันเด็กในระหว่างวันที่ 10-11 มกราคม นี้ โดยปีนี้จำลองฟาร์มปศุสัตว์สไตล์คาวบอยให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน ซึ่งมีไฮไลต์ที่สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน คาดว่า ในช่วงวันเด็กจะดึงดูดลูกค้าเข้ามาชมงาน และจับจ่ายในห้างเพิ่มขึ้นกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมอื่นๆ อาทิ ตรุษจีน งานประมงน้อมใจไทยทั่วหล้า งานพฤกษาสยาม เป็นต้น
“ปีนี้มีปัจจัยบวกด้านการมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ แต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ซึ่งต้องรอดูว่าผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีก อยากให้ภาครัฐช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้ฟื้นกลับคืนมาเร็วที่สุด เพราะมองว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาต้องรอ 5-6 เดือน และผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปีนี้บริษัทหวังว่าจะมีอัตราการเติบโต 5% ได้ก็ถือว่าตามเป้า” นายชำนาญ กล่าว
