ในรอบปี 2551 ที่ผ่านมา ผลพวงจากปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของประเทศเจอปัญหาหนัก ผู้บริโภคเริ่มควบคุมค่าใช้จ่าย ในแง่ของกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ในภาพรวมถือว่ายังมีการเติบโตอยู่ไม่เกิน 5% จากมูลค่าตลาดรวมที่ประมาณ 75,000 ล้านบาท ผลของการเติบโตครั้งนี้เกิดจากการแข่งขันกันเองในตลาด โดยเฉพาะในด้านราคา และการจัดโปรโมชั่นต่างๆ รวมถึงการเกาะกระแสโกลบอล วอร์มมิ่งเข้าช่วย
สำหรับกลุ่มภาพและเสียง หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าในหมวดเอวี ในปี2551นี้คาดว่าจะเติบโตที่ 3-5% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 38,000-39,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด โดยการเติบโตของสินค้าหมวดเอวีครั้งนี้ เกิดจากการได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันกีฬาฟุตบอลยูโรและโอลิมปิคในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. ที่ผ่านมาเป็นหลัก บวกกับการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นตลาดในอีกทางหนึ่ง ซึ่งส่วนผู้ประกอบการเอง ต่างก็เลือกใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเข้าช่วยในการทำตลาด เพื่อสร้างยอดขายกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องราคา ถือว่าปีนี้จอภาพมีราคาต่ำมากที่สุด ขณะที่เจ้าตลาดจอภาพ ช่วงโค้งสุดท้ายนี้ เชื่อว่าซัมซุงจะยังรักษาแชมป์ไว้ได้
นายสุพจน์ ลีนานุรักษ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจภาพและเสียง บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้กล่าวไว้ว่า ปีนี้ซัมซุงได้เปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มภาพและเสียงกว่า 100 รายการ อาทิ “ฟูลเอชดี แอลซีดีทีวี ซีรีส์ 7, 6, 5”, “พลาสม่าทีวี ซีรีย์ 4” เอชดีทีวี 3 มิติเครื่องแรกของโลก รวมถึงซัมซุงได้ทำการเปิดตัวแอลซีดีทีวีรุ่นใหม่ “ซัมซุง ฟูลเอชดี แอลซีดีทีวี ซีรีส์ 6 คริสตัล ดีไซน์ ซึ่งมาพร้อมกับกลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางขาย เพิ่มพันธมิตรการค้า และการทำการขายแบบนันสต๊อปเซอร์วิส รวมถึงรุกตลาดพรีเมี่ยม โดยทั้งปีซัมซุงคาดว่ากลุ่มเอวีนี้จะเติบโตอีก 40% จากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย 6,800 ล้านบาท ตั้งเป้าที่จะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในส่วนแบ่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์แอลซีดีทีวี ทีวีสีจอแบน ทีวีสีจอแก้ว และ สลิมทีวี ไว้ให้ได้
ทั้งนี้จากผลการสำรวจของ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการสำรวจยอดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา พบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มภาพและเสียงของซัมซุง 3 รายการ ได้แก่ แอลซีดีทีวี, ทีวีจอแบน (Flat TV) และเครื่องเล่นดีวีดี ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ดังนี้ แอลซีดีทีวี มียอดขายประมาณ 560,000 เครื่อง ทีวีจอแบน มียอดขาย 96,000 เครื่อง และเครื่องเล่นดีวีดี 235,000 เครื่อง
ส่วนแบรนด์คู่แข่งอย่างโซนี่ หลังจากถูกชิงบัลลังก์แอลซีดีทีวีไปเป็นที่เรียบร้อย ถือว่าการตลาดในปีนี้ค่อนข้างเงียบลง ถึงแม้ว่าจะยังพัฒนาแอลซีดี ทีวี รุ่นใหม่ ไม่ต่ำกว่า 10 รุ่น ป้อนตลาดอยู่ก็ตาม แต่ก็ได้ฉีกตลาดลงมาเล่นจอภาพขนาดเล็กแทน กับขนาด 20 นิ้ว ในซีรีย์ BRAVIA จับกลุ่มวัยรุ่นมากยิ่งขึ้น กับกลยุทธ์เรื่องของคัลเลอร์ มาร์เก็ตติ้ง และกลยุทธ์การตลาดแบบCluster Value Marketting หรือการตลาดแบบรวมกลุ่มสินค้า
สำหรับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ต้องยอมรับว่าปีนี้ทั้งปียังมีการเติบโตที่ดียู่ประมาณ 3-5% เช่นกัน หรือคิดเป็นมูลค่ารวมที่ประมาณ 34,000-35,000 ล้านบาท ส่วนสาเหตุของการเติบโตครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการขยายตัวของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ รวมถึงกลุ่มตลาดที่มีการซื้อทดแทน ซึ่งกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนปีนี้ ที่มีการทำตลาดอย่างรุนแรงอยู่ คือ เครื่องซักผ้า,ตู้เย็น รวมถึงเครื่องปรับอากาศ
โดยเฉพาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องซักผ้านั้น จะเห็นว่าปีนี้แบรนด์ซัมซุง, แอลจี รวมถึงโตชิบา ต่างเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าแข่งขันกันเต็มที่ ขณะที่เจ้าตลาดเครื่องซักผ้าอย่างซัมซุง ในภาพรวมเครื่องซักผ้าคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 33% เติบโตจากปีก่อน5%หรือมีรายได้จากกลุ่มเครื่องซักผ้าถึง 1,600 ล้านบาท หรือประมาณ 260,000 ยูนิต แบ่งสัดส่วนเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนถังคู่ 30% เครื่องซักผ้าฝาบนถังเดี่ยว 60% และฝาหน้า 10% โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของเครื่องซักผ้าในประเทศไทยมีกว่า 10,000 ล้านบาท
ตามมาด้วยแบรนด์แอลจี ที่ในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดรวมเครื่องซักผ้ากว่า 25% ส่วนตลาดรวมเครื่องปรับอากาศมีส่วนแบ่งตลาดที่ 10% ขณะที่ในตลาดรวมตู้เย็นมีส่วนแบ่งถึง 35%ขณะที่โตชิบา ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวที่ฉายภาพชัดเจน ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปีนี้ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มเครื่องซักผ้าถังเดี๋ยวอัตโนมัติ ในอันดับที่3ของตลาด ด้วยแชร์ที่ 12% จากเดิมในปีก่อนมีแชร์เพียง 9% อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งใช้งบประมาณทำตลาดถึง 50 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับกลุ่มภาพและเสียง หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าในหมวดเอวี ในปี2551นี้คาดว่าจะเติบโตที่ 3-5% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 38,000-39,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด โดยการเติบโตของสินค้าหมวดเอวีครั้งนี้ เกิดจากการได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันกีฬาฟุตบอลยูโรและโอลิมปิคในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. ที่ผ่านมาเป็นหลัก บวกกับการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นตลาดในอีกทางหนึ่ง ซึ่งส่วนผู้ประกอบการเอง ต่างก็เลือกใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเข้าช่วยในการทำตลาด เพื่อสร้างยอดขายกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องราคา ถือว่าปีนี้จอภาพมีราคาต่ำมากที่สุด ขณะที่เจ้าตลาดจอภาพ ช่วงโค้งสุดท้ายนี้ เชื่อว่าซัมซุงจะยังรักษาแชมป์ไว้ได้
นายสุพจน์ ลีนานุรักษ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจภาพและเสียง บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้กล่าวไว้ว่า ปีนี้ซัมซุงได้เปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มภาพและเสียงกว่า 100 รายการ อาทิ “ฟูลเอชดี แอลซีดีทีวี ซีรีส์ 7, 6, 5”, “พลาสม่าทีวี ซีรีย์ 4” เอชดีทีวี 3 มิติเครื่องแรกของโลก รวมถึงซัมซุงได้ทำการเปิดตัวแอลซีดีทีวีรุ่นใหม่ “ซัมซุง ฟูลเอชดี แอลซีดีทีวี ซีรีส์ 6 คริสตัล ดีไซน์ ซึ่งมาพร้อมกับกลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางขาย เพิ่มพันธมิตรการค้า และการทำการขายแบบนันสต๊อปเซอร์วิส รวมถึงรุกตลาดพรีเมี่ยม โดยทั้งปีซัมซุงคาดว่ากลุ่มเอวีนี้จะเติบโตอีก 40% จากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย 6,800 ล้านบาท ตั้งเป้าที่จะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในส่วนแบ่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์แอลซีดีทีวี ทีวีสีจอแบน ทีวีสีจอแก้ว และ สลิมทีวี ไว้ให้ได้
ทั้งนี้จากผลการสำรวจของ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการสำรวจยอดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา พบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มภาพและเสียงของซัมซุง 3 รายการ ได้แก่ แอลซีดีทีวี, ทีวีจอแบน (Flat TV) และเครื่องเล่นดีวีดี ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ดังนี้ แอลซีดีทีวี มียอดขายประมาณ 560,000 เครื่อง ทีวีจอแบน มียอดขาย 96,000 เครื่อง และเครื่องเล่นดีวีดี 235,000 เครื่อง
ส่วนแบรนด์คู่แข่งอย่างโซนี่ หลังจากถูกชิงบัลลังก์แอลซีดีทีวีไปเป็นที่เรียบร้อย ถือว่าการตลาดในปีนี้ค่อนข้างเงียบลง ถึงแม้ว่าจะยังพัฒนาแอลซีดี ทีวี รุ่นใหม่ ไม่ต่ำกว่า 10 รุ่น ป้อนตลาดอยู่ก็ตาม แต่ก็ได้ฉีกตลาดลงมาเล่นจอภาพขนาดเล็กแทน กับขนาด 20 นิ้ว ในซีรีย์ BRAVIA จับกลุ่มวัยรุ่นมากยิ่งขึ้น กับกลยุทธ์เรื่องของคัลเลอร์ มาร์เก็ตติ้ง และกลยุทธ์การตลาดแบบCluster Value Marketting หรือการตลาดแบบรวมกลุ่มสินค้า
สำหรับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ต้องยอมรับว่าปีนี้ทั้งปียังมีการเติบโตที่ดียู่ประมาณ 3-5% เช่นกัน หรือคิดเป็นมูลค่ารวมที่ประมาณ 34,000-35,000 ล้านบาท ส่วนสาเหตุของการเติบโตครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการขยายตัวของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ รวมถึงกลุ่มตลาดที่มีการซื้อทดแทน ซึ่งกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนปีนี้ ที่มีการทำตลาดอย่างรุนแรงอยู่ คือ เครื่องซักผ้า,ตู้เย็น รวมถึงเครื่องปรับอากาศ
โดยเฉพาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องซักผ้านั้น จะเห็นว่าปีนี้แบรนด์ซัมซุง, แอลจี รวมถึงโตชิบา ต่างเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าแข่งขันกันเต็มที่ ขณะที่เจ้าตลาดเครื่องซักผ้าอย่างซัมซุง ในภาพรวมเครื่องซักผ้าคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 33% เติบโตจากปีก่อน5%หรือมีรายได้จากกลุ่มเครื่องซักผ้าถึง 1,600 ล้านบาท หรือประมาณ 260,000 ยูนิต แบ่งสัดส่วนเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนถังคู่ 30% เครื่องซักผ้าฝาบนถังเดี่ยว 60% และฝาหน้า 10% โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของเครื่องซักผ้าในประเทศไทยมีกว่า 10,000 ล้านบาท
ตามมาด้วยแบรนด์แอลจี ที่ในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดรวมเครื่องซักผ้ากว่า 25% ส่วนตลาดรวมเครื่องปรับอากาศมีส่วนแบ่งตลาดที่ 10% ขณะที่ในตลาดรวมตู้เย็นมีส่วนแบ่งถึง 35%ขณะที่โตชิบา ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวที่ฉายภาพชัดเจน ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปีนี้ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มเครื่องซักผ้าถังเดี๋ยวอัตโนมัติ ในอันดับที่3ของตลาด ด้วยแชร์ที่ 12% จากเดิมในปีก่อนมีแชร์เพียง 9% อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งใช้งบประมาณทำตลาดถึง 50 ล้านบาทในปีนี้