โอกิลวี่ เชื่อ เศรษฐกิจปีหน้า ถล่มธุรกิจเอเยนซี ซ้ำรอยต้มยำกุ้ง เอ่ยปากรายได้ปี 52 ไม่โต ส่วนลูกค้าภาวนาขอให้เลี่ยงการตัดงบ เน้นการตลาดที่มีประสิทธิภาพแทน ยังยิ้มได้จีบลูกค้าใหม่อีก 2-3 รายช่วยเข็นรายได้
นางพรรณี ชัยกุล รองประธานกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ ประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่ง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ประเมินเศรษฐกิจปีหน้า ที่จะมีเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลโดยตรงกับไทย มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจเอเยนซีโฆษณา ไม่ต่างจากปี 2541 หรือช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา
วิกฤตในปี 2552 นี้ ถือว่าไม่ร้ายแรงเท่า โดยทางบริษัทเอง เชื่อว่า ในแง่ของรายได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีการเติบโต หรือมีรายได้เท่าปีนี้ แต่ในแง่ของส่วนแบ่งตลาด คาดว่า จะเติบโตแน่นอน ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่น่าจะมาจากกลุ่มดิจิตอล คอมมูนิเคชั่น จากกลุ่มธุรกิจโอกิลวี่ วัน และโอกิลวี่ นีโอ ขณะที่ในแง่ของภาพรวมรายได้ของปีนี้นั้น พบว่า ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ 6-7% ขณะที่ในช่วง 2548-2549 บริษัทยังมีตัวเลขการเติบโต 2 หลัก
ทั้งนี้ ในส่วนลูกค้านั้น มองว่า ปีหน้ายังคงใช้งบการตลาดไปตามแผนที่วางไว้ โดยเท่าที่ผ่านมายังไม่พบว่า ลูกค้าเริ่มตัดงบลง หรือมีการวางแผนสื่อเปลี่ยนไป เพราะส่วนใหญ่ยังคงวางแผนแบบระยะยาวอยู่ ถึงแม้หลายฝ่ายจะประเมินออกมา ว่า บริษัทต่างชาติจะมีการตัดงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ลง สำหรับ โอกิลวี่ ประเทศไทย แล้ว ถือว่าโชคดี เนื่องจากที่ผ่านมาลูกค้ารายใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทในประเทศเป็นหลัก เช่น สิงห์, ไทย ประกันชีวิต, ธนาคารกสิกรไทย, เคเอฟซี, ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ซีพี ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สร้างรายได้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% และอีก 40% เป็นบริษัทต่างชาติ ขณะที่ในปีหน้าบริษัทฯจะมีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2-3 ราย เช่น ยูนีฟ หรือ ASU
ในปีหน้า ธุรกิจเอเยนซีจะไม่แข่งขันกันในเรื่องของราคา เช่น ในปี 2541 เพราะปัจจุบัน ส่วนใหญ่บริษัทเอเยนซี จะมีความแข็งแกร่งของ เอเยนซี เฮด อยู่แล้ว จึงมองว่า ปีหน้าน่าจะแข่งขันกันในเรื่องของคุณภาพและผลงานในการทำงานมากกว่า โดยในส่วนของโอกิลวี่เอง ปีหน้าจะพยายามทำงานบนพื้นฐานและหน่วยธุรกิจที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นใหม่ในปี 2551 นี้ ให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางพรรณี กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมสื่อแล้ว ปีหน้าเชื่อว่า สื่อหลักอย่างสื่อโทรทัศน์จะยังคงเป็นสื่อที่ลูกค้าพร้อมใช้เงินอยู่ แต่บางสื่ออาจจะน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง เช่น แมกกาซีน ที่มีความคล้ายคลึงกัน ผู้บริโภคอาจจะพิจารณาซื้ออ่านเพียงเล่มเดียว รวมถึงสื่อทรานซิส ที่จะตกลงในปีหน้า เนื่องจากเชื่อว่าลูกค้าจะเน้นทำการตลาดที่เป็นแบบเจาะลึก เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น
นางพรรณี ชัยกุล รองประธานกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ ประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่ง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ประเมินเศรษฐกิจปีหน้า ที่จะมีเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลโดยตรงกับไทย มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจเอเยนซีโฆษณา ไม่ต่างจากปี 2541 หรือช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา
วิกฤตในปี 2552 นี้ ถือว่าไม่ร้ายแรงเท่า โดยทางบริษัทเอง เชื่อว่า ในแง่ของรายได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีการเติบโต หรือมีรายได้เท่าปีนี้ แต่ในแง่ของส่วนแบ่งตลาด คาดว่า จะเติบโตแน่นอน ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่น่าจะมาจากกลุ่มดิจิตอล คอมมูนิเคชั่น จากกลุ่มธุรกิจโอกิลวี่ วัน และโอกิลวี่ นีโอ ขณะที่ในแง่ของภาพรวมรายได้ของปีนี้นั้น พบว่า ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ 6-7% ขณะที่ในช่วง 2548-2549 บริษัทยังมีตัวเลขการเติบโต 2 หลัก
ทั้งนี้ ในส่วนลูกค้านั้น มองว่า ปีหน้ายังคงใช้งบการตลาดไปตามแผนที่วางไว้ โดยเท่าที่ผ่านมายังไม่พบว่า ลูกค้าเริ่มตัดงบลง หรือมีการวางแผนสื่อเปลี่ยนไป เพราะส่วนใหญ่ยังคงวางแผนแบบระยะยาวอยู่ ถึงแม้หลายฝ่ายจะประเมินออกมา ว่า บริษัทต่างชาติจะมีการตัดงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ลง สำหรับ โอกิลวี่ ประเทศไทย แล้ว ถือว่าโชคดี เนื่องจากที่ผ่านมาลูกค้ารายใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทในประเทศเป็นหลัก เช่น สิงห์, ไทย ประกันชีวิต, ธนาคารกสิกรไทย, เคเอฟซี, ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ซีพี ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สร้างรายได้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% และอีก 40% เป็นบริษัทต่างชาติ ขณะที่ในปีหน้าบริษัทฯจะมีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2-3 ราย เช่น ยูนีฟ หรือ ASU
ในปีหน้า ธุรกิจเอเยนซีจะไม่แข่งขันกันในเรื่องของราคา เช่น ในปี 2541 เพราะปัจจุบัน ส่วนใหญ่บริษัทเอเยนซี จะมีความแข็งแกร่งของ เอเยนซี เฮด อยู่แล้ว จึงมองว่า ปีหน้าน่าจะแข่งขันกันในเรื่องของคุณภาพและผลงานในการทำงานมากกว่า โดยในส่วนของโอกิลวี่เอง ปีหน้าจะพยายามทำงานบนพื้นฐานและหน่วยธุรกิจที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นใหม่ในปี 2551 นี้ ให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางพรรณี กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมสื่อแล้ว ปีหน้าเชื่อว่า สื่อหลักอย่างสื่อโทรทัศน์จะยังคงเป็นสื่อที่ลูกค้าพร้อมใช้เงินอยู่ แต่บางสื่ออาจจะน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง เช่น แมกกาซีน ที่มีความคล้ายคลึงกัน ผู้บริโภคอาจจะพิจารณาซื้ออ่านเพียงเล่มเดียว รวมถึงสื่อทรานซิส ที่จะตกลงในปีหน้า เนื่องจากเชื่อว่าลูกค้าจะเน้นทำการตลาดที่เป็นแบบเจาะลึก เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น
