บอร์ด รถร่วมฯ ขสมก. ยังไม่ปรับลดค่าโดยสาร เพราะติดกลไกประชานิยม 6 มาตรการ 6 เดือน ที่จะสิ้นสุดในเดือน ม.ค.นี้ ต้องถูกเก็บภาษีสรรพสามิตรดีเชลในอัตราเดิมลิตรละ 2.75 บาท หวั่นสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้บริการได้ ส่วนการส่งเสริมเอ็นจีวี ก็มีต้นทุนแพง
วันนี้ (12 ธันวาคม 2551) นายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการ ซึ่งเป็นสมาคมกลุ่มผู้ประกอบการรถร่วมบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รถร่วมฯ ขสมก.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ วานนี้ (11 ธันวาคม 2551) ได้พิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่เป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุนในการเดินรถ และเห็นว่ายังไม่ สมควรปรับลดค่าโดยสารลง
นายฉัตรชัย กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่คณะกรรมการสมาคมฯ เห็นว่าหลังจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคนที่จะหมดลงในเดือนมกราคม 2552 จะทำให้ราคาน้ำมัน ดีเซลที่รัฐบาลลดอัตราภาษีสรรพสามิต กลับมาปรับราคาเพิ่มขึ้นลิตรละ 2.70 บาท ผู้ประกอบการจึงเห็นว่ายังไม่สมควรปรับลดค่าโดยสารของรถร่วมบริการ ขสมก.ขณะนี้ เนื่องจากเมื่อราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้ประกอบการก็ต้องมาเรียกร้องปรับขึ้นค่าโดยสารอีก อาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้บริการได้
ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางออกมาระบุว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการฯ รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะอนุมัติให้ปรับลดค่าโดยสารทั้งในส่วนของรถร่วมบริการ บขส.และรถร่วมบริการ ขสมก.นั้น นายฉัตรชัย กล่าวว่า หากคณะกรรมการฯ มีมติผู้ประกอบการก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่ขณะนี้ขอยืนยันว่าจุดยืนของสมาคมฯ ยังไม่ปรับลดค่าโดยสาร
นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการ กล่าวอีกว่า ความเป็นจริงขณะนี้ผู้ประกอบการรถร่วมบริการ ขสมก.ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซเอ็นจีวีแล้วตามนโยบายของภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาอย่างมาก เนื่องจากค่าซ่อมบำรุงของรถโดยสารที่ใช้เอ็นจีวี ค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกระบอกสูบเครื่องยนต์ที่ต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้เป็นต้นทุนที่นอกเหนือจากราคาน้ำมันที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับอยู่
วันนี้ (12 ธันวาคม 2551) นายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการ ซึ่งเป็นสมาคมกลุ่มผู้ประกอบการรถร่วมบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รถร่วมฯ ขสมก.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ วานนี้ (11 ธันวาคม 2551) ได้พิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่เป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุนในการเดินรถ และเห็นว่ายังไม่ สมควรปรับลดค่าโดยสารลง
นายฉัตรชัย กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่คณะกรรมการสมาคมฯ เห็นว่าหลังจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคนที่จะหมดลงในเดือนมกราคม 2552 จะทำให้ราคาน้ำมัน ดีเซลที่รัฐบาลลดอัตราภาษีสรรพสามิต กลับมาปรับราคาเพิ่มขึ้นลิตรละ 2.70 บาท ผู้ประกอบการจึงเห็นว่ายังไม่สมควรปรับลดค่าโดยสารของรถร่วมบริการ ขสมก.ขณะนี้ เนื่องจากเมื่อราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้ประกอบการก็ต้องมาเรียกร้องปรับขึ้นค่าโดยสารอีก อาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้บริการได้
ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางออกมาระบุว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการฯ รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะอนุมัติให้ปรับลดค่าโดยสารทั้งในส่วนของรถร่วมบริการ บขส.และรถร่วมบริการ ขสมก.นั้น นายฉัตรชัย กล่าวว่า หากคณะกรรมการฯ มีมติผู้ประกอบการก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่ขณะนี้ขอยืนยันว่าจุดยืนของสมาคมฯ ยังไม่ปรับลดค่าโดยสาร
นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการ กล่าวอีกว่า ความเป็นจริงขณะนี้ผู้ประกอบการรถร่วมบริการ ขสมก.ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซเอ็นจีวีแล้วตามนโยบายของภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาอย่างมาก เนื่องจากค่าซ่อมบำรุงของรถโดยสารที่ใช้เอ็นจีวี ค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกระบอกสูบเครื่องยนต์ที่ต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้เป็นต้นทุนที่นอกเหนือจากราคาน้ำมันที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับอยู่
